“ที่อยู่อาศัย” หนึ่งในปัจจัย 4 ของมนุษย์ ไม่ว่าจะฐานะยากดีมีจนใครๆ ก็ต้องการมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ดังวลี “อย่างน้อยก็ยังมีที่ไว้ซุกหัวนอน” เพราะคนที่มีบ้านไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะเป็นหลังหรือห้องก็ยังดีกว่าคนไร้บ้านที่ต้องไปนอนข้างถนน-ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ทั้งนี้ “ความเป็นเมือง” เป็นปัจจัยที่ทำให้รูปแบบการก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมทั้งค่านิยมในการเลือกที่อยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนไป
“การอยู่อาศัยในเมือง” 1 ใน 7 เรื่องของชุดโครงการวิจัย “คนเมือง4.0 : อนาคตชีวิตเมืองในประเทศไทย” ซึ่งจัดการบรรยายโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคนไทย 4.0 แผนงานบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคมไทยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมีภัณฑิรา จูละยานนท์ อาจารย์ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับหน้าที่นำเสนอในประเด็นนี้
อาจารย์ภัณฑิรา กล่าวว่า เมืองหลวงของไทยอย่าง กรุงเทพมหานคร (กทม.)นับวันจะมีจำนวนประชากรมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าความต้องการที่อยู่อาศัยย่อมต้องมากขึ้นด้วย “นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” โดยเฉพาะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะคอนโดฯ ที่เป็นโครงการของเอกชนเท่านั้น ที่อยู่อาศัยจากโครงการของรัฐก็ยังกลายเป็นอาคารสูงไปด้วย
เช่น “ในอดีตการเคหะแห่งชาติเคยสร้างแฟลตสูงเพียง 4-5 ชั้น แต่ล่าสุดพบว่าแฟลตดินแดงก่อสร้างใหม่ในรูปแบบอาคารสูง” นั่นหมายความว่า“ที่อยู่อาศัยในแนวตั้งกำลังกลายได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ไม่ว่าจะเพื่อคนรายได้สูงหรือรายได้น้อยก็ตาม “สำหรับประเทศไทย..อาคารชุดถือเป็นเรื่องใหม่มาก” ปัจจุบันมีกฎหมาย พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522, พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522, พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ในการกำกับดูแล
เมื่อดูปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยแนวตั้ง 1.ประชากร มีผู้อพยพย้ายถิ่นมากขึ้น เช่น คนจากชนบทเข้าสู่เมือง (โดยเฉพาะจากต่างจังหวัดมาอยู่ในกรุงเทพฯ) หรือชาวต่างชาติมาอยู่ในประเทศไทย 2.เศรษฐกิจ ราคาที่ดินแพงขึ้น ราคาคอนโดฯ ก็พลอยสูงขึ้นไปด้วยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใช้วิธีการ “ลดขนาดห้อง” ให้เล็กลง เช่น ในปี 2549 ขนาดห้องเฉลี่ยกว้าง 65 ตารางเมตร แต่ในปี 2561 พบว่าขนาดห้องเฉลี่ยกว้างลดลงเหลือเพียง 28 ตารางเมตร
นอกจากนี้ “การเข้ามาซื้อหรือเช่าคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาต่อห้องแพงขึ้น” และการที่ที่อยู่อาศัยแนวตั้งเหล่านี้มีราคาแพง ก็กลายเป็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยไปโดยปริยาย 3.เทคโนโลยี การพัฒนาเทคนิคการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างคอนโดมิเนียมถูกลงและก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้รวดเร็วขึ้น
4.ค่านิยม คนรุ่นใหม่ไม่คาดหวังว่าต้องมีบ้านที่มีพื้นที่สวนส่วนตัวอีกต่อไปแต่มองว่าการอยู่คอนโดฯ สะดวกสบายและปลอดภัยกว่า หรือบางคนไม่คิดแม้แต่จะต้องซื้อที่อยู่อาศัยของตนเอง แต่ใช้วิธีเช่าไปเรื่อยๆ แทน และ 5.การกลายเป็นเมือง ในอดีตสิ่งที่ขยายออกไปตามแนวถนนคือโครงการหมู่บ้านจัดสรร แต่ปัจจุบันพบว่ากลายเป็นคอนโดมิเนียมมากขึ้นตามเส้นทางรถไฟฟ้า
“ความท้าทายสำหรับอนาคตประเทศไทย” อาจแบ่งได้ 5 ประเด็น 1.เก่าก่อนรวย สังคมสูงวัยทำให้สัดส่วนประชากรสูงอายุมีมากขึ้น ภาพที่อาจเกิดขึ้นคือผู้คนต้องอยู่กับห้องหรืออาคารสภาพเก่าๆ แล้วไม่รู้จะมีเงินมาซ่อมแซมหรือไม่ ขณะที่ห้องอีกจำนวนหนึ่งอาจเป็นห้องว่างๆ ร้างๆ “สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในญี่ปุ่น” ซึ่งได้มีวิธีการรับมือคือ “เก็บเงินจำนวนหนึ่งทุกปีจากผู้อาศัยโดยแยกจากค่าส่วนกลาง” สำหรับไว้ซ่อมแซมปรับปรุงอาคาร
2.การเช่าตลอดชีวิตคือเรื่องปกติ คนรุ่นใหม่ไม่ยึดติดเรื่องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อาจชอบชีวิตยืดหยุ่นเคลื่อนย้ายไปไหนก็ได้มากกว่า “ปัญหาคือ..คนที่ซื้ออยู่กับเช่าอยู่อาจมีทัศนคติไม่เหมือนกัน เช่น คนที่ซื้ออยู่อาจปฏิบัติตนอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกับเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมอาคารชุด แต่คนที่เช่าอาจไม่วางตนเช่นนั้นเลยก็ได้” เพราะคำว่าเช่านั้นโดยสำนึกหมายถึงการอยู่อาศัยในเวลาไม่นานอยู่แล้ว อนึ่ง กฎหมายไทยในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องการกับแบ่งห้องคอนโดฯ สำหรับเช่า
“การเช่าตลอดชีวิตมีอีกประเด็นที่สำคัญ คือพอเราเช่าไปตลอดชีวิตเราจะไม่มีหลักแหล่ง คนเมืองจะเริ่มไม่มีหลักแหล่ง สมัยนี้เราอาจจะมีบ้านเป็นแหล่งพักพิง เป็นหลักค้ำประกันในเชิงเศรษฐกิจ-เชิงการเงินให้กับตัวเองได้แต่เมื่อคนส่วนมากในเมืองไม่มีหลักแหล่งไม่มีหลักประกันในชีวิตที่เรียกว่าเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว มันก็อาจเกิดความเสี่ยงเรื่องคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้นในอนาคต หรือเมืองอาจจะต้องรองรับคนจำนวนมากที่ไม่มีบ้านอยู่” ภัณฑิรา กล่าว
3.การพัฒนาชานเมืองตามเส้นทางรถไฟฟ้า ผลกระทบที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นคือ “คนรายได้น้อยถูกเบียดขับออกไปอยู่ไกลมากขึ้น” ต้องใช้เวลาและงบประมาณเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง รัฐต้องวางแผนด้วยว่าจะพัฒนาสาธารณูปโภค-สาธารณูปการให้ครอบคลุมได้อย่างไรเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนในเมือง เนื่องจากไม่สามารถจ่ายค่าที่อยู่อาศัยในย่านกลางเมืองได้
4.คับที่จนคับใจ กฎหมายไทยระบุว่าห้องในอาคารชุดขนาดต้องไม่เล็กกว่า 20 ตารางเมตร เป็นห้องนอน8 ตารางเมตร ห้องน้ำ 1.5 ตารางเมตร “ห้องขนาดนี้อยู่คนเดียวคงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากแต่งงานมีลูก ความรู้สึกแออัดย่อมเกิดขึ้น” นอกจากนี้ “การกินไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ..จึงไม่ถูกระบุในกฎหมาย” ห้องเหล่านี้หลายแห่งจึงไม่มีครัวที่เหมาะสมกับการทำอาหารรับประทาน
แน่นอนว่า “ผู้คนต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการซื้อหรือรับประทานอาหารนอกบ้าน” แต่คอนโดฯ ก็ไม่ได้ถูกพัฒนามาพร้อมกับการต้องมีตลาด แล้วจะไปหาอาหารรับประทานได้อย่างไร และ 5.เด็กเกิดและเติบโตบนตึกสูงมีโอกาสเล่นตามธรรมชาติน้อยลงมีปฏิสัมพันธ์ตามวัยกับเด็กคนอื่นๆก็น้อยลง รัฐต้องคำนึงถึงจุดนี้ในการออกแบบสาธารณูปการเพื่อให้เด็กเติบโตมาอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ท้ายที่สุด นโยบายที่อาจจำเป็นในอนาคตในภาพรวม อาจแบ่งได้ดังนี้ 1.รัฐอาจต้องมีการกำหนดตำแหน่งสาธารณูปการในเมือง เพื่อพัฒนาการเข้าถึงบริการของรัฐ ปรับรูปแบบการให้บริการสาธารณะ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ถูกพัฒนาในย่านชานเมือง เช่น ระบบตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ ปัจจุบันอาจจะมีแล้วแต่ในอนาคตอาจต้องถูกพัฒนาให้ครบวงจรมากขึ้น เนื่องจากอาจมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ใกล้กับโรงพยาบาล
2.การควบคุมการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาโดยเอกชน เช่น ในประเด็นการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล หรือการเชื่อมโยงกับระบบรักษาความปลอดภัยของเมือง อาทิ สถานีตำรวจ 3.การกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการปล่อยเช่าห้อง ว่าจะมีสัดส่วนเท่าใดจึงจะไม่ส่งผลกระทบเมื่อต้องปรับปรุงสภาพอาคาร 4.อาจต้องส่งเสริมธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวอาคารสูง เช่น รับทำอาหารสำหรับคนไม่มีเวลาทำกับข้าวกินเอง หรือกิจการโดรนส่งของสำหรับผู้อยู่บนชั้นสูงๆ ของอาคาร ว่าจะถูกควบคุมอย่างไร
ทั้งหมดนี้คือนโยบายที่รัฐต้องคำนึงถึง..เพื่อลดผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงเรื่องการอยู่อาศัยในเมือง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี