“รถไฟฟ้าที่สร้างขึ้นอยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) นั้นไม่มีประโยชน์กับพวกเราเลย คนอย่างพวกผมไม่มีปัญญาสามารถขึ้นได้ คนทำงานค่าแรงขั้นต่ำ 315 บาท เขามาวิเคราะห์ดูแล้ว จากที่บ้านไปทำงาน ไป-กลับ ประมาณ 280 บาท จะเหลือกี่บาทไปให้ลูกให้เมีย ส่วนพวกเราจะมีที่นั้นสักแปลงหนึ่งก็หายาก ไม่ต้องหวังจริงๆ มันหมดแล้วในเมืองนี้”
เสียงสะท้อนจาก สุชิน เอี่ยมอินทร์ นายกสมาคมคนไร้บ้าน ในเวทีเสวนา “วิกฤติที่ดิน เมืองและที่อยู่อาศัย” อันเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมที่ดินคือชีวิตครั้งที่ 2ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ถึงความทุกข์ยากของผู้มีรายได้น้อยในเมือง และยังกล่าวอีกว่า “เมื่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจเข้ามาในเมือง..คนจนก็มีแต่จะถูกผลักให้ออกไปอยู่ด้านนอก” เช่น เมื่อโครงการรถไฟฟ้าไปถึงที่ไหน ที่ดินตามแนวทางรถไฟนั้นจะแพงขึ้นกลายเป็นทำเลทองทันที ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า “นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์รู้ล่วงหน้า” มาไล่กว้านซื้อที่ดินแถบนั้นไว้ก่อนแล้ว
ขณะที่ ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้ย้ำอีกครั้งถึงประเด็น “เมื่อที่ดินถูกทำให้เป็นสินค้า” ที่เคยพูดในเวทีเดียวกันนี้เมื่อปี 2561 ว่า หากมองที่ดินเหมือนกับสินค้าอื่นๆ โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด คนมีเงินมากย่อมมีสิทธิในการซื้อที่ดินได้มาก คำถามคือสมควรใช้หลักคิดเช่นนี้กับที่ดินจริงหรือ เพราะในขณะที่คนอีกมากมายต้องการใช้ที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและทำมาหากินเล็กๆ น้อยๆ แต่เข้าไม่ถึงเพราะไม่มีเงินมากพอ คนบางกลุ่มที่ร่ำรวยกลับกว้านซื้อที่ดินกักตุนไว้สำหรับเก็งกำไร
วิธีคิดเรื่องที่ดินแบบนี้ถูกทำให้มองเป็นเรื่องปกติ (Normalization) คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าผิดหรือเสียหายอะไร นั่นทำให้สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำสูง ขณะที่สังคมอื่นๆ ไม่ได้ปล่อยให้ครอบครัวหรือเก็งกำไรที่ดินกันมากมายขนาดนี้ แต่มีมาตรการแทรกแซงเพื่อนำไปสู่การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม “การแก้ปัญหาขั้นแรกอยู่ที่การรื้อถอนหลักคิดเรื่องที่ดินเป็นสินค้าและสินทรัพย์ออกให้ได้เสียก่อน” แล้วจึงค่อยคิดกันต่อไปว่าควรบริหารจัดการที่ดินอย่างไรให้เป็นธรรม
และต้องย้ำด้วยว่า “ปัญหาที่ดินในเมืองไม่ได้กระทบเฉพาะผู้มีรายได้น้อย แต่ยังรวมไปถึงชนชั้นกลางด้วย”ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงกว่ารายได้ไปมาก” ที่ผ่านมาเคยชวนนักศึกษาเพิ่งจบใหม่ๆ กำลังเริ่มทำงาน ให้ลองคำนวณเงินเดือนหรือรายได้ที่มี แล้วคิดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างไร “เรียนจบใหม่ๆเงินเดือน 15,000-20,000 บาท หรือบางคน 30,000 บาท จะซื้อคอนโดมิเนียมราคาห้องละ 3 ล้านบาท คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่” ความฝันของชนชั้นกลางที่อยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองจึงมีแต่เป็นจริงได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
“ที่ดินทุกวันนี้ไม่ใช่สินค้าที่ถูกจัดการโดยกลไกตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์ เรารู้ว่าถ้าเราเก็บเงินเอาไว้มูลค่าเงินจะตกต่ำลง เงินเฟ้อขึ้นทุกปี เราก็ไปเก็บเงินในที่ดิน ไปซื้อที่ดินกักตุนเอาไว้ ทั้งที่ที่ดินเป็นมากกว่าสินค้า ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป แต่มันคือสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร สิ่งเหล่านี้ทำให้การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในเมืองเกิดวิกฤติมากขึ้น คนเข้าถึงได้ยากขึ้น ยิ่งคุณรวยเท่าไรคุณยิ่งมีโอกาสซื้อที่ดินมากเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่มีโอกาสในวันนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีโอกาสในอนาคต เพราะที่ดินมันจะราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ” อาจารย์บุญเลิศ อธิบาย
ด้าน พรรณทิพย์ เพชรมาก รองผู้อำนวยการ “พอช.” สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า เมื่อคนจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมือง แรกๆ อาจเช่าห้องพัก แต่เมื่อราคาค่าเช่าสูงขึ้นก็ไปบุกรุกหรือบุกเบิกพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแล้วสร้างชุมชนขึ้นมา เช่น ชุมชนคลองเตยที่มีอยู่ราว 2 หมื่นครัวเรือน หรือชุมชนริมคลองลาดพร้าว-คลองเปรมประชากร ที่บางส่วนขยายลงไปในพื้นที่คลอง สุดท้ายเมื่อภาครัฐจะมีโครงการพัฒนาสักอย่างหนึ่ง ชุมชนเหล่านี้ก็กลายเป็นเป้าหมายต้องถูกย้ายออก
ส่วนในกลุ่ม “ที่ดินเอกชน” จะพบว่า “ในวันที่ราคาที่ดินยังไม่สูงเจ้าของที่ดินก็ปล่อยเช่าถูกๆ แต่เมื่อราคาที่ดินสูงขึ้นจากสาธารณูปโภคอย่างถนนหรือทางรถไฟฟ้าที่ตัดผ่าน ผู้เช่าย่อมได้รับผลกระทบเพราะจะถูกยกเลิกสัญญาเช่า” และการไปหาที่อยู่ใหม่ก็ยากเพราะราคาที่อยู่นั้นแพงมาก อนึ่ง จะเห็นว่ามีบ้านหลายหลัง-ชุมชนหลายแห่ง ไม่ปรับปรุงสภาพให้สวยงามดูดี ด้วยเหตุผลว่าไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไรเพราะไม่ใช่ที่ดินของตนเอง จะถูกไล่เมื่อใดก็ไม่รู้
“ในส่วนของ พอช. ที่ทำโครงการที่อยู่อาศัย คิดว่าถ้าทำเรื่องที่ดินให้มั่นคง เชื่อว่าคนจนทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ได้ ทำบ้านตัวเองให้ดีขึ้นได้ถ้าเรื่องที่ดินมีความมั่นคง แล้วการที่บอกว่าราคาที่ดินมันสูงหลายเท่ามาก จะทำอย่างไรให้คนจนอยู่ใช้ที่ดินได้ ที่ดินรัฐในเมืองก็จะหายากขึ้นเรื่อยๆ ชุดที่อยู่อยู่แล้วทุกวันนี้คือชุดที่ราชพัสดุ ชุดที่ริมคลอง เราก็พยายามคุยว่าจะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร คือคนรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้บุกรุก
อย่างบ้านมั่นคง (โครงการของ พอช.) จะไปหนุนให้ผู้บุกรุกเขาบุกเพิ่มหรือจะโดนคนถามแบบนี้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลางหรือรัฐบาล รู้สึกว่าการไปตามแก้ปัญหาตรงนี้เหมือนยิ่งไปเสริมให้คนบุกรุก หรืออย่างการไปพัฒนาศูนย์คนไร้บ้าน คือคนชอบคิดว่าเขาผิดกฎหมายทำไมต้องไปตามแก้ปัญหาในส่วนตรงนี้ ต้องบอกว่าเมืองต้องการแรงงาน ต้องการคนจน คนทำความสะอาด วินมอเตอร์ไซค์ ต้องการอะไรหลายๆ อย่าง แต่เมืองไม่ค่อยคิดว่าคนเหล่านี้จะอยู่ที่ไหน บนที่ดินที่เหมาะสมที่เขาสามารถจ่ายได้” รอง ผอ.พอช. ระบุ
ปิดท้ายด้วย คมสันติ์ จันทร์อ่อน ตัวแทนมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย เสนอแนะว่า 1.เลิกทำให้ที่ดินเป็นสินค้า โดยถึงขั้นต้อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพื่อกำหนดหลักการดังกล่าวลงไปด้วย โดยปัจจุบันแม้จะมีธนาคารที่ดิน แต่ยังดำเนินการด้วยการนำที่ดินมาขาย แม้ไม่มีดอกเบี้ยแต่คนยากจนก็ยากจะเข้าถึง 2.ให้มีชุดกฎหมายว่าด้วยการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม เช่น กฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า กฎหมายจำกัดจำนวนการถือครองที่ดิน “คนในชุมชนแออัดไม่ได้ต้องการที่กว้างอะไรนัก บางคนบ้านกว้าง 4 เมตร ลึก 6 เมตรก็อยู่ได้แล้ว”แต่วันนี้กฎหมายยังไม่เอื้อให้ทำได้
“ถึงแม้จะเป็นดอกเบี้ย 0% ราคาตลาดก็ซื้อไม่ไหว สมมุติว่าธนาคารที่ดินเปิดรับเรื่องที่อยู่อาศัยด้วย (ปัจจุบันรับช่วยเหลือเฉพาะที่ดินทำกิน) อยากจะขอซื้อที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ต้องสีลมก็ได้ เอาแถวยานนาวา สัก 1 แปลง รองรับ 50 หลัง ดอกเบี้ย 0% ถ้าเอาราคาตลาดก็จ่ายไม่ไหว ธนาคารที่ดินต้องไปทำการบ้านใหม่ จะทำอย่างไรไม่ไปอยู่ในกลไกตลาดการซื้อ-ขายที่ดิน อันนี้คือส่วนสำคัญ” คมสันติ์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี