“1949” หรือ พ.ศ.2492 เป็นปีก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จากวันนั้นถึงปัจจุบันคือปี “2019” หรือ พ.ศ.2562นับรวมได้ 70 ปีพอดี ผ่านช่วงเวลาแห่งการลองผิดลองถูก ภายใต้การนำของ พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) จนสามารถพุ่งทะยานดุจ “มังกรผงาด” ขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก ขนาดของเศรษฐกิจอยู่ในอันดับ 2 เป็นรองเพียง สหรัฐอเมริกา เท่านั้น อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำต่อไป หากต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็น “ประเทศสังคมนิยมทันสมัย” ในปี 2050 หรือ พ.ศ.2593ตามที่ตั้งเป้าไว้
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน จัดงานบรรยายสรุปการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 19 ณ รร.แชงกรี-ลา ย่านบางรัก กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติอย่างสูงจาก จ้าง อั้น หมิน (Zang Anmin) Secretary-General of The Organization Department of the Central Committee of the CPC มาบรรยาย ซึ่งได้กล่าวถึง “13 ข้อ” ที่รัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์จีนมุ่งมั่นให้เกิดขึ้น
1.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต้องมีความทันสมัยขึ้น บริหารอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และตามหลักการประชาธิปไตยประชาชน 2.ยืนหยัดและปรับปรุงบทบาทของประชาชน ให้ประชาชนได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าของประเทศ 3.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบนิติรัฐ เพิ่มขึ้นความสามารถให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนบริหารประเทศตามหลักนิติรัฐของจีน 4.ยืนหยัดและปรับปรุงการบริหารแบบสังคมนิยมตามเอกลักษณ์จีน สร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองที่ระบุหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างชัดเจน
5.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบเศรษฐกิจของจีน ให้ระบบตลาดมีบทบาทอย่างสูงในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจที่มีคุณภาพสูง 6.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบวัฒนธรรมก้าวหน้า เสริมสร้างความเข้มแข็งของพื้นฐานความคิดร่วมกัน ในการสร้างความสมานสามัคคี 7.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งในเมืองและชนบท เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 8.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบบริหารสังคมร่วมกัน แบ่งปันและรักษาความมั่นคงของสังคมและของชาติ
9.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบอารยนิเวศวิทยา ปฏิบัติตามแนวคิด “น้ำใส-เขาเขียว” อันหมายถึงให้ความสำคัญกับมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ให้มนุษย์
กับธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดอง10.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อกองทัพประชาชน (กองทัพของจีน)ให้กองทัพมีความทันสมัย มีความจงรักภักดีต่อพรรคฯ และปฏิบัติตามภารกิจของยุคสมัย
11.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบ “1 ประเทศ 2 ระบบ”ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายขั้นพื้นฐาน ส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 ฟากฝั่ง ขยายการพัฒนาและหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของ 2 ฟากฝั่งสร้างความผาสุกร่วมกับชาวไต้หวันผ่านการรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว 12.ยืนหยัดและปรับปรุงนโยบายทางการทูตที่เป็นเอกราชและมีอิสรภาพ และ 13.ยืนหยัดและปรับปรุงระบบกำกับตรวจสอบ สร้างระบบที่ทำให้ผู้มีอำนาจไม่กล้ากระทำการทุจริต ไม่สามารถกระทำการทุจริตและไม่อยากจะกระทำการทุจริต
“ใน 70 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประชาชนจีนมีความสมัครสมานสามัคคี ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง บุกเบิกเส้นทางสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีน ตั้งแต่ปี 1952-2018 (พ.ศ.2495-2561)GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) ของจีนเพิ่มขึ้น 114 เท่า GDP Per Capita (ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัว) เพิ่มขึ้น 70 เท่า การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วัฒนธรรม การรักษาพยาบาล การกีฬา ขจัดความยากจน รักษาสิ่งแวดล้อมของระบบนิเวศ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยกระดับสูงขึ้น”จ้าง อั้น หมิน กล่าว
อนึ่ง มีประเด็นที่ผู้คนจากประเทศอื่นๆ มักไม่ค่อยมั่นใจนักกับนโยบายบริหารประเทศแบบจีนคือ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” ทั้งที่เป็นเชื้อชาติหลักอย่าง
ชาวฮั่น และที่เป็นชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ตัวแทนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนผู้นี้ ชี้แจงว่า การบริหารของจีนส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศกล่าวคือ “มีระบบสภาที่ปรึกษาการเมืองซึ่งมีตัวแทนมาจากประชาชนทุกสาขาอาชีพ” ตั้งแต่คนขับแท็กซี่ คนขับรถประจำทาง ไปจนถึงคนประกอบธุรกิจส่วนตัว มีการประชุมใหญ่ทุกปีเพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางในการพัฒนาประเทศ
ส่วนหน่วยงานย่อยหรือระดับท้องถิ่น มีการจัดตั้งระบบเสวนา มีศูนย์ประสานงานระหว่างประชาชนกับตัวแทนเพื่อรวบรวมปัญหาและความคิดเห็นเพื่อรวมพลังกันพัฒนาประเทศไปด้วยกัน นอกจากนี้ จีนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนกลุ่มน้อยในประเทศ เช่น ให้สิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ หรือระบบเมืองพี่-น้อง ที่ให้พื้นที่เจริญกว่าช่วยพัฒนาเขตที่ยังมีปัญหาให้เจริญขึ้นมาทัดเทียมกัน ให้ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนแผ่นดินจีนมีความรู้สึกเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 19 ยังได้ชี้ชัดว่า จีนจะยืนหยัดที่จะให้มีการพัฒนาอย่างสันติ ด้วยความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประเทศต่างๆ บนหลักการ 5 ข้อของความสัมพันธ์แบบสันติ จะช่วยเหลือและส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายสามารถพัฒนาตนเองได้ และส่งเสริมชุมชนโชคชะตาร่วมของมวลมนุษย์” จ้าง อั้น หมิน ระบุ
ขณะที่ โภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรของไทย ในฐานะนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวว่า ในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 19 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้น ผิง (Xí Jìnpíng)ประธานาธิบดีของจีน ได้ประกาศว่า “ตั้งแต่ปี 2563-2593จีนจะพัฒนาสู่การเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย (Great Modern Socialist Country)” แต่จีนก็ยืนยันว่า ไม่ต้องการเอาอย่างประเทศในโลกตะวันตกที่ใช้ความเหนือกว่าทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร เพื่อมุ่งทำให้โลกตกอยู่ภายใต้ระเบียบที่กำหนดโดยประเทศนั้นๆ
แต่จีนต้องการอยู่ร่วมกับทุกประเทศอย่างสันติ เท่าเทียมไม่แทรกแซง เคารพซึ่งกันและกัน ใช้ความร่วมมือหลายฝ่ายในการเจรจาหารือและได้ผลประโยชน์ร่วมกัน บนพื้นฐานการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและแบ่งปันอนาคตร่วมกัน ถึงกระนั้นสำหรับจีนเองก็มีความท้าทายเพราะต้องหลอมรวม 3 สิ่งเข้าด้วยกันคือ 1.รักษาไว้ซึ่งระบบสังคมนิยมที่มีลักษณะแบบจีน 2.สร้างสังคมที่แบ่งปันอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ และ 3.ใช้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือเชื่อมต่อในทุกด้าน หรือที่เรียกว่า Belt and Road
นั่นคือเป้าหมายของจีนที่ตั้งไว้..แต่จะทำได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับสงครามการค้า(Trade War) คงต้องติดตามดูกันต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี