ในสมัยพุทธกาลมีสารเณรน้อยองค์หนึ่งชื่อ "ติสสะ" อายุ 7 ปีมาบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติธรรมอยู่ในสำนักพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นระยะเวลาได้ 1 ปี วันหนึ่ง พระสารีบุตรสังเกตเห็นนิมิตบางอย่างที่บอกว่า สามเณรติสสะ จะต้องสิ้นชีวิตภายใน 7 วัน ด้วยเมตตาและความสงสารสามเณร พระสารีบุตรเถระ จึงบอกสามเณรให้ทราบว่าสามเณรจะสิ้นชีวิตในอีก 7 วัน พร้อมกับอนุญาตให้สามเณรติสสะไปบอกลาสั่งเสียญาติมิตรโปรดโยมบิดามารดาเป็นเวลา 3 วัน
ต่อมาสามเณรติสสะจึงเดินทางไปเพื่อลาญาติพี่น้อง กะว่าจะใช้เวลาไปกลับให้ทันก่อนกำหนด เพื่อฟังธรรมจากพระสารีบุตรเป็นครั้งสุดท้าย โดยในระหว่างการเดินทางสามเณรติสสะ ได้พบปลาน้อยใหญ่ในสระน้ำซึ่งกำลังแห้งเขิน เมื่อสามเณรไปถึงปลากำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะน้ำไม่เพียงพอ
สามเณรจึงรำพึงว่า "เรานี้จะตายภายใน 7 วัน ปลานี้หากไม่มีน้ำจะต้องตายในวันนี้แล้ว อย่ากระนั้นเลยถึงเราจะต้องตายก็ควรจะโปรดสัตว์คือปลาเหล่านี้ให้พ้นจากความตายเถิด" ด้วยความสงสารสามเณรจึงเอาบาตรช้อนตักฝูงปลาทั้งหมด แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ ปลาทุกตัวก็รอดชีวิต
จากนั้นสามเณรติสสะเดินทางต่อไปในช่วงที่ผ่านป่าได้พบเก้งตัวหนึ่งติดบ่วงแร้วของนายพราน กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ สามเณรมีใจกรุณาสงสารปล่อยเก้งตัวนั้นออกจากแร้ว ให้พ้นจากความตายไปอีกราย
สุดท้ายเดินทางไปถึงบ้านญาติ ได้เล่าเรื่องที่จะเกิดกับตนทั้งหมดตามที่พระสารีบุตรบอกมา ญาติทั้งหลายทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้นก็สงสารสามเณร อดกลั้นน้ำตาไม่ไหว ต่างร้องไห้คร่ำครวญ และเฝ้ารอเวลาที่สามเณรจะมรณภาพในวันที่ 7 ตามคำบอก
เมื่อครบกำหนด 7 วันสามเณรติสสะ กลับไม่สิ้นชีวิตตามที่พระสารีบุตรพยากรณ์ไว้แถมล่วงเลยไปอีกหลายสัปดาห์ก็ยังไม่สิ้นชีวิต สามเณรรู้สึกว่าตนคงไม่ตายแล้วจึงได้เดินทางกลับไปหาพระสารีบุตรอีก เล่าเรื่องต่างๆ ที่ตนได้กระทำลงไป เช่น การปล่อยปลาและเก้งในระหว่างทางก่อนถึงบ้านญาติ
พระสารีบุตร จึงกล่าวกับสามเณรว่า "กรรมดีที่เณรได้ช่วยชีวิตฝูงปลา ซึ่งบังเอิญเป็นเจ้ากรรมของเณรต่ออดีตชาติ ประกอบกับบุญกุศลที่เณรได้ทำไว้ด้วยการถือเพศบรรพชิตในปัจจุบัน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเกิดความปีติ ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมให้กรรมหนักถึงตายของเณรหลุดพ้น ด้วยการอโหสิกรรมต่อกัน เณรได้พ้นกรรมบัดนี้แล้ว"
ด้วยอานิสงส์การให้ทานชีวิต ปล่อยปลาและสัตว์ที่จะถึงฆาตให้รอดตายเป็นการประกอบมหากุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ ด้วยเดชานุภาพของมหากุศลกรรมนั้นจึงสามารถสืบต่อชีวิตที่กำลังจะขาดไปของสามเณรได้แถมยังมีผิวพรรณผ่องใสยิ่งขึ้นอีกด้วย
.........................................
ขอบคุณข้อมูลจาก https://board.postjung.com/764647
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี