1.ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ประจำปี 2563 เกิดซ้ำเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2562 และคงจะเกิดขึ้นซ้ำเช่นนี้อีกในปีต่อๆ ไป การเกิดซ้ำของปัญหากำลังบอกกับเราว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น คำถามสำคัญก็คือว่า ทำไมการแก้ไขปัญหาจึงยังไม่สำเร็จ
ก่อนที่จะพาไปหาคำตอบ ผมขอพามาเริ่มต้นกันที่ “สาเหตุของปัญหา” กันก่อน โดยการศึกษาวิจัยของนักวิจัยและแพทย์ที่ต้องรักษาผู้ป่วยจากฝุ่นควันPM2.5 ได้สรุปสาเหตุปัญหาฝุ่นควันนี้ ว่ามีสาเหตุสำคัญมาจาก 4 เรื่องคือ หนึ่ง การเผาซากวัสดุทางการเกษตรของอุตสาหกรรมเกษตร คือ อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ สอง การเผาน้ำมันดีเซลของรถยนต์ สาม การเผาซากวัสดุทางการเกษตรในที่โล่งแจ้งของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะลาว, กัมพูชา, เมียนมา และอินโดนีเซีย และสี่ กระแสลม,ระดับอุณหภูมิของอากาศ, ความกดอากาศ ตามฤดูกาลที่กดทับฝุ่นควันให้สะสมอยู่ในพื้นที่ และพัดฝุ่นควันให้กระจายไปอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นว่า สาเหตุที่ 1 และ 2 เป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถที่จะจัดการแก้ไขได้ ส่วนสาเหตุที่ 3 รัฐบาลไทยสามารถที่จะปรึกษาหารือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ได้ สำหรับสาเหตุที่ 4 เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จะทำได้เพียงบรรเทาปัญหาให้ลดลงเท่านั้น ดังนั้น อีกคำถามสำคัญก็คือ ทำไมรัฐบาลจึงไม่สามารถแก้ไขสาเหตุที่ 1, 2 และ 3 ได้เสียที
2.ถ้าจะให้วิเคราะห์กันแบบตรงไปตรงมาก็คือ อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลได้ประโยชน์จากอ้อยและน้ำตาล ในขณะที่ชาวไร่อ้อยต่างเผาอ้อย เพื่อตัดอ้อยได้สะดวก และค่าใช้จ่ายต่ำ ส่วนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ได้ประโยชน์จากการปลูกข้าวโพด ในขณะที่การเผาซังและต้นข้าวโพดเป็นภาระทางสุขภาพอนามัยของคนและสังคม และแน่นอนว่า อุตสาหกรรมรถยนต์และน้ำมันได้ประโยชน์จากการขายรถยนต์และน้ำมัน ในขณะที่ประชาชนต้องสูดฝุ่นควันและเสี่ยงต่อการเกิดโรคและเสียชีวิต
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายสาธารณะจะต้องตอบให้ได้ว่า ฐานความคิดและเกณฑ์การประเมินผลดีและผลเสียของนโยบายนั้นคืออะไร และฐานความคิดและเกณฑ์การประเมินนโยบายนั้นสร้างความเป็นธรรมทางสังคมให้แก่ประชาชนโดยรวมหรือไม่ เพียงใด เมื่อสังคมได้ออกมาตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมในเรื่องอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมรถยนต์และน้ำมัน
3.สำหรับการเผาซากวัสดุทางการเกษตรในที่โล่งแจ้งของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องนำปัญหาฝุ่นควันนี้เข้าไปหารือเพื่อกำหนดเป็นวาระของ ASEAN หรือ CLMV เพื่อจะได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา กระทรวงการต่างประเทศควรจะต้องไปศึกษาวิจัยด้วยว่าการเผาซากวัสดุทางการเกษตรในประเทศเพื่อนบ้านเป็นการเผาของเกษตรกรรายย่อย หรือบริษัทอุตสาหกรรมเกษตร เพื่อจะได้แก้ไขตรงที่ต้นเหตุของปัญหา ส่วนเรื่องกระแสลม, ระดับอุณหภูมิของอากาศ และความกดอากาศ ตามฤดูกาลที่กดทับให้การกระจายของฝุ่นควันไม่ดี และเกิดการสะสมฝุ่นควันในบางช่วงเวลาของแต่ละพื้นที่ แม้เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก หรือไม่ได้ แต่ภาครัฐก็ต้องไม่ยอมจำนนต่อปัญหาเหล่านี้
ดังนั้น หนทางในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจะเกิดผลสำเร็จได้จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 3 ประการ คือ หนึ่ง หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา จะต้องมีคำตอบทางเทคนิคที่จะแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน เช่นเดียวกับแพทย์ที่ต้องมีคำตอบทางเทคนิค จึงจะสามารถรักษาคนไข้ให้หายป่วยได้กล่าวให้ชัดเจน คือ คนที่รับผิดชอบต่อปัญหาฝุ่นควันจะต้อง “ทำเป็น” และ “เห็นปัญหาจริง” ทราบว่าสาเหตุของปัญหาเป็นอย่างไร วิธีการแก้ไขปัญหาทำอย่างไร การเข้าใจปัญหาและการแก้ไขปัญหาจะต้องทำด้วยความ “แม่นยำ” ทั้งเวลา พื้นที่ และเงื่อนไขของบริบทต่างๆ
4.สอง การสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจถึงคนที่มีผลได้และผลเสียจากปัญหาฝุ่นควันว่าเป็นอย่างไร เพื่อสร้างแรงกดดันทางสังคมให้คนที่สร้างปัญหาและได้ประโยชน์จากปัญหาฝุ่นควันให้เกิดสำนึกความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ดังนั้น ถ้ามีการศึกษาวิจัยที่จะเปรียบเทียบว่า ผลประโยชน์ของกลุ่มอุตสาหกรรม (ดังที่กล่าวไปแล้ว) เป็นเท่าไร และความเสียหายของประชาชนและรัฐบาลที่ต้องรับภาระเป็นเท่าไร เพื่อให้ข้อมูลได้ชี้ถึงผลดีและผลเสียอย่างชัดเจน เพื่อเรียกสำนึกความรับผิดชอบต่อส่วนรวมของบริษัทเอกชน (ซึ่งทำธุรกิจที่ส่งผลในการสร้างฝุ่น) ที่จะมีมากขึ้นในการช่วยลดปัญหาฝุ่นควันโดยเร็ว
และสาม การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน ภาครัฐต้องกล้าเผชิญกับความเป็นจริงของปัญหา เช่น การเผาอ้อยและข้าวโพดที่เป็นสาเหตุของปัญหาฝุ่นควันฯลฯ รัฐบาลต้องไปพบกับบริษัทอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล บริษัทผลิตอาหารสัตว์ และบริษัทรถยนต์และน้ำมัน เพื่อชี้ให้พวกเขาเห็นว่า ปัญหาฝุ่นควันเหล่านี้ที่มาจากกระบวนการทางธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นอย่างไร เพื่อความเข้าใจต่อปัญหาตรงกัน ที่สำคัญรัฐบาลจะต้องตัดสินใจโดยเฉพาะการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนก่อนผลประโยชน์ของบริษัทเอกชน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ตรงนี้เองที่เป็น “กุญแจสำคัญ” ในการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 มันคือความกล้าหาญที่จะชนกับทุกๆ ปัญหา (ของสังคมและประเทศชาติ) หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ภาวะผู้นำ”
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี