สถานการณ์สิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่ทุกประเทศกำลังให้ความสนใจ เนื่องจากสภาพอากาศของโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตเป็นวงกว้าง ดังที่เสนอข่าวตามหน้าสื่อต่างๆไปก่อนหน้า แต่ที่น่าเจ็บใจคงเป็น “การบุกรุกพื้นที่ป่า” ของมนุษย์ที่ต้องการขยายพื้นที่ทำการเกษตร หรือต้องการเป็นเจ้าของพื้นที่นั้นๆในการหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
ขณะที่เหตุการณ์ “ไฟป่า” ที่เป็น Talk of the town ในปีที่แล้วคงหนีไม่พ้น “สถานการณ์ไฟป่าอเมซอน” ที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก ทำให้สังคมออนไลน์ได้พากันติดแฮชแท็ก #PrayforAmazonas และ #PrayforAmazonia จนกลายเป็นแฮชแท็กฮิตติดเทรนด์ในโซเชียลมีเดีย เพราะเป็นไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี โดยลุกลามต่อเนื่องยาวนานร่วมเดือน ทำให้ “บราซิล” ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าวทันที ด้วย “อเมซอน” เป็นป่าดิบชื้นและเป็นผืนป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก มีต้นไม้กว่า 390 พันล้านต้น พืชอีกกว่า 40,000 ชนิดและเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน อเมซอนจึงเปรียบเสมือนเป็น“ปอดของโลก” เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ช่วยดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซค์ และผลิตแก๊สออกซิเจนรายใหญ่ของโลก
ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เกิดเหตุการณ์ “ไฟป่าในประเทศออสเตรเลีย” ที่ปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติ เพราะไฟได้ “เผาผลาญ” พื้นที่มากกว่า 6 รัฐ หรือราว 84,000 ตารางกิโลเมตร คร่าชีวิตคนและสัตว์นานาชนิดกว่า 500 ล้านตัว ซึ่งสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยรวมไปถึงภัยแล้งและอุณหภูมิที่สูงสุดในรอบหลายปี ซึ่งวิกฤติไฟป่าออสเตรเลียในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเจอภัยแล้งยาวนานถึง 3 ปี เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ป่าละเมาะแห้งแล้งติดไฟง่าย
“นายณัฐดนัย เกียรติการุณ” หรือ “น้องตั้ม” หนุ่มหล่อคณะรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 74 บอกกับ “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ว่า จากเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ของทั้งป่าอเมซอน และป่าออสเตรเลียส่งผลให้ทั้งคนและสัตว์ป่าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปด้วย เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากสภาวะโลกร้อนทำให้ไฟป่าทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นยากต่อการควบคุม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
จากการค้นคว้าข้อมูลทราบว่า ป่าอเมซอนเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศโลก ปัจจุบันโลกของเราปล่อยก๊าซดังกล่าวปริมาณ 4 หมื่นล้านตันต่อปี และป่าอเมซอนก็ช่วยดูดซับก๊าซพิษนั้นไว้ราว 5% หรือประมาณ 2 พันล้านตัน
ขณะที่สถานการณ์ไฟป่าออสเตรเลียที่ชาวออสเตรเลียเผชิญนานกว่า 5 เดือน ได้แผ่ขยายเป็นวงกว้างสร้างความสุญเสียทั้ง “มนุษย์และสัตว์ป่า” ซึ่งเรารู้ดีว่า “ออสเตรเลีย” เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ป่าอเมซอน และมีสัตว์ป่าหายากหลากหลายชนิด บางชนิดมีแค่ที่ออสเตรเลียที่เดียว แต่ต้องเศร้าเมื่อไฟป่าความสูง 70 เมตร (ซิดนีย์ โอเปร่า เฮาส์ สูง 67 เมตร) ได้เผาวอดกินพื้นที่มากกว่า 6 รัฐ เพราะจากข่าวได้บอกว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2562 จากการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นทำให้อุณหภูมิในออสเตรเลียพุ่งสูงเกือบ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนกว่าประเทศไทยเราเสียอีก
นอกจากนี้ไฟป่ายังก่อฝุ่นควันทำให้เมือง “แคนเบอร์รา” เมืองหลวงของออสเตรเลีย ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “คุณภาพอากาศดีที่สุด” กลายเป็นติด 1 ใน 10 คุณภาพอากาศย่ำแย่ที่สุดได้เพราะค่าฝุ่น PM 2.5 ที่ 855.6 µg/m³ สูงเกินค่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) มากเกินกว่า 34 ครั้ง และถูกจัดให้อยู่ระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง (Hazardous Levels)
“ส่วนตัวมองว่าสาเหตุหนึ่งเกิดจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ต้องการผลิตสินค้าออกมาให้ได้เยอะๆ และทุกครั้งที่ทำการผลิตจะมีการปล่อยแก๊สเรือนกระจกไปทำลายโอโซนทำให้ไม่สามารถกรองรังสีที่เป็นอันตรายได้มากเท่าที่ควรทำให้ปรากฎการณ์ไฟป่าออสเตรเลียสะท้อนปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งจะทำให้เกิดไฟป่าถี่และรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างมากขึ้นด้วย”
เช่นเดียวกับสถานการณ์ป่าไม้ในประเทศไทย ซึ่ง “น้องตั้ม” ได้บอกกับ “ทีมข่าวฯ” ว่า ตนเกิดและโตที่กรุงเทพฯ ที่หันมองไปทางไหนก็มีแต่ “ป่าคอนกรีต” แต่ด้วยใจที่อยากอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจึงตั้งใจว่าจะลด-เลิก พร้อมรณรงค์เกี่ยวกับ “รักษ์โลก” ให้มากที่สุด เพราะจากสถานการณ์ป่าไม้ในประเทศไทย พื้นที่ป่ามีเพียงร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศเท่านั้น แต่ก็ดีใจที่ปี 2562 เรามีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 10 เลยทีเดียว
แต่สถานการณ์สัตว์ป่ายังคงถูกคุกคามจนน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะสัตว์ปีกจำพวก “นกเงือก” ที่มีการล่าเพื่อนำศีรษะไปทำเครื่องประดับ โดยช่วงที่ผ่านมามี “ใบสั่งนกเงือก” ถูกล่าส่งจีนทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีนกเงือกไม่ถึง 100 ตัว ซึ่งป่าทาง 3 จังหวัดชายแดนใต้สามารถพบนกเงือกได้ถึง 10 ชนิด จาก 13 ชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทยทำให้อุทยานฯ ต่างๆทั่วประเทศคุมเข้มเฝ้าระวังการลักลอบล่าสัตว์ป่าเป็นพิเศษ แต่ด้วยกำลังพลที่มีอยู่น้อยนิดจึงไม่อาจปกป้องภัยคุกคามนี้ได้ทั่วถึง
“ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการรุกป่าทำรีสอร์ททางภาพเหนือ จนเรามองไปเห็นเพียงแต่ “ภูเขาหัวโล้น” ฉะนั้นเราจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเป็นหูเป็นตาช่วยแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ได้ ถึงแม้จะช่วยไม่ได้มากแต่ก็ยังดีที่ได้ลงมือทำ ผมอยากให้เราหันมาใส่ใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันให้มากๆ โดยเฉพาะป่าไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของแหล่งอาหารและสรรพสัตว์บนโลก เนื่องจากป่าเปรียบเสมือนเป็นปอดที่ผลัดออกซิเจนออกมา ดังนั้นถ้าเรามีต้นไม้ มีป่าจะทำให้ประเทศไทยร่มรื่นยิ่งขึ้น และอาจช่วยให้อุณหภูมิลดลงด้วย
ต้นไม้คือชีวิต หากไม่มีต้นไม้ก็จะส่งผลกระทบต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะภัยพิบัติทางธรรมชาติ และปริมาณแก็สออกซิเจนที่ลดลง จะส่งผลให้อนาคตเราจะใช้ชีวิตลำบากขึ้นอย่างแน่นอน จึงอยากฝึกไปถึงทุกๆคนว่าการดูแลสิ่งแวดล้อมสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เราร่วมมือกันโดยต้องเริ่มจากตัวบุคคล และช่วยกันเป็นกระบอกเสียงในการเชิญชวนคนอื่นมาทำเพิ่มด้วย แค่นี้เราก็รักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้แล้ว” นายณัฐดนัย กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี