กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งสำหรับ "คดีอุ้มบุญ" หลังจากเมื่อเช้าวันที่ 13 ก.พ.63 เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน สนธิกำลัง เปิดปฏิบัติการ stop children born – หยุดการกำเนิดเด็กทลายเครือข่ายแม่อุ้มบุญที่รับจ้างตั้งครรภ์ ก่อนจะส่งเด็กทารกไปยังประเทศจีน
โดยจุดแรกที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในซอยนาคนิวาส 37 พบตัวนายจ้าวหลาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในข้อหา "สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า"
จุดที่สองอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ห่างจากบ้านของนายเจ้าหลาน มาประมาณ 6 หลังคาเรือน ซึ่งเป็นบ้านที่มีหญิงสาวอยู่รวมกัน 8 คน และเด็กทารกแรกเกิด เพศชาย อายุเพียง 10 วัน โดยหญิงสาว 7 คนเป็นหญิงสาวที่มารับจ้างอุ้มบุญมี 1 คน ที่ตั้งท้องได้ 8 เดือน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการรอเตรียมการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังพบเครื่องมืออบเด็กที่ใช้ในทางการแพทย์อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย
จากการสอบสวนขยายผลของทางเจ้าหน้าที่พบว่าขบวนการนี้ว่าจ้างหญิงสาวในการเป็นแม่อุ้มบุญประมาณ 30 คน กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ประมาณ 5 จังหวัด สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้มีการบุกเข้าตรวจค้น 10 จุดเพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 10 หมายที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับขบวนการเครือข่ายอุ้มบุญ และจากนี้เจ้าหน้าที่จะได้มีการสืบสวนขยายผลเพื่อติดตามเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติขบวนการนี้เพิ่มเติมต่อไป
สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป้นครั้งแรกในเมืองไทย
หากย้อนหลับไปเมื่อหลายปีก่อนก็เคยเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมาจนเป็นที่โด่งดังไปทั่วทั้งไทยและต่างประเทศ เมื่อชาวต่างชาติในฐานะเจ้าของเชื้ออสุจิที่จ้างหญิงไทยอุ้มบุญให้จนเป็นข่าวดังไปทั่วเมื่อเดือนสิงหาคม 2557 หลังมีพลเมืองดีแจ้งว่า ในอาคารชุดลาดพร้าว 130 เป็นห้องที่เลี้ยงทารกจำนวนมากไว้กับพี่เลี้ยง โดยไม่มีพ่อแม่ดูแล เมื่อตำรวจได้รับแจ้งก็ไปตรวจดุพบว่ามีทารกวัยแรกเกิดจนถึง 3 ขวบนับ 10 คน เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรืออุ้มบุญ ซึ่งพ่อเด็ก คือ นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ ลูกชาวมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น เป็นคนว่าจ้างหญิงไทยให้ช่วยตั้งครรภ์ให้
ต่อมาได้มีสื่อจากค่ายต่างๆ โดยเฉพาะสื่อต่างประเทศได้มีการรายงานข่าวระบุว่า "นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ลูกมหาเศรษฐี วัย 24 ปี (อายุในขณะนั้น) ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นเดินทางไปทั่วเอเชียเพื่อจ้างวานหญิงสาวมาฉีด "สเปิร์ม" แล้วอุ้มท้องให้จนคลอดหรือที่เรียกว่าแม่อุ้มบุญเฉพาะที่เมืองไทยในปี 2557 มีเด็ก 13 คนเกิดจากแม่ 11 คนเพราะมีเด็กฝาแฝดด้วย"
นอกจากนี้จากการสืบสวนของตำรวจสากลยังพบว่า นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ ยังได้ติดต่อเอเยนต์จ้างหญิงอุ้มบุญที่กัมพูชา เวียดนาม และอินเดีย หรือในประเทศอื่นๆ อีก คาดว่าอาจมีเด็กอีกถึง 30 กว่าคนที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการอุ้มบุญของเด็กไทยกลุ่มนี้
จนกระทั้งนายมิตสุโตกิ ชิเกตะ ได้แต่งตั้งนายก้อง สุริยมณฑล เป็นทนายความเพื่อยื่นคำร้องขอต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเพื่อขอเป็นผู้ปกครองเด็กทั้ง 13 คนที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรืออุ้มบุญ มีคำพิพากษาให้นายชิเกตะ เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฏหมายและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงข้อเท็จจริงก็ยุติว่านายมิตสุโตกิ ชิเกตะ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ เพียงต้องการเลี้ยงดูและอุปการะบุตรทุกคน
จนวันที่ 20 ก.พ.61 เวลา 09.00 น.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้อ่านคำสั่งในคดีที่นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ ชาวญี่ปุ่น ผู้ร้องยื่นคำร้องรวม 9 สำนวนขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้เยาว์ทั้ง 13 คน ซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์แทนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง ตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้อง ประกอบรายงานสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชนกรุงเทพมหานคร ได้ความว่าผู้ร้องไม่มีภริยา แต่เป็นผู้ดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนตั้งแต่ปี 56 โดยใช้เชื้ออสุจิของผู้ร้องปฏิสนธิกับไข่ของผู้บริจาค นำไปใส่ในโพรงมดลูกของหญิงไทยผู้รับตั้งครรภ์แทน 9 คน จนคลอดผู้เยาว์รวม 13 คน เมื่อปี 57 เป็นเวลาก่อนวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 มีผลใช้บังคับ (วันที่ 30 ก.ค.58) ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องได้
ประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ผู้ร้องเป็นบิดาโดยสายโลหิตของผู้เยาว์ทั้ง 13 คน หลังจากผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเกิด ผู้ร้องรับอุปการะเลี้ยงดูด้วยดีตลอดมา กระทั่งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำไปเลี้ยงดูที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ดและสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ ผู้ร้องมอบหมายให้บุคคลอื่นไปเยี่ยมเยียนผู้เยาว์เหล่านั้นเป็นประจำ อีกทั้งวางแผนเตรียมความพร้อมพาไปอุปการะเลี้ยงดู ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเตรียมสถานที่เลี้ยงดูที่มีความ ปลอดภัยและสะดวก มีพยาบาลวิชาชีพและพี่เลี้ยงเด็กเพียงพอ เมื่อถึงเกณฑ์ที่ผู้เยาว์จะเข้ารับการศึกษา ผู้ร้องวางแผนจะส่งเข้าศึกษาที่โรงเรียนนานาชาติใกล้ที่พักอาศัย โดยผู้ร้องและครอบครัวซื้อที่ดิน และกำลังก่อสร้างที่พักอาศัยใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่ กลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้ยังเปิดบัญชีกองทุนให้ที่ประเทศสิงคโปร์ สะสมให้ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนในระยะยาวอีกด้วย ทั้งได้ความว่าผู้ร้องได้นำบุตร ผู้เยาว์อื่นซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์แทนก่อนหน้านี้ ไปเลี้ยงดูที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศกัมพูชา พบว่าได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีโดยเฉพาะบุตรผู้เยาว์ที่นำไปเลี้ยงดูที่ประเทศญี่ปุ่น ได้รับสัญชาติญี่ปุ่นครบถ้วนทุกคนแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ร้องเป็นบุตรผู้ก่อตั้ง และประธานบริหาร บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นในหลายบริษัท ได้รับเงินปันผลจากบริษัทเดียวปีละกว่าร้อยล้านบาท แสดงว่ามีอาชีพการงานมั่นคง มีรายได้มากเพียงพอที่จะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ทุกคน อธิบดีกรมกิจการเด็กในฐานะผู้กำกับดูแลหน่วยงานที่เลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้ง 13 คน มีหนังสือไม่คัดค้านการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาล ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และเป็นผู้ดำเนินการให้ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนถือกำเนิด จึงต้องรับผิดชอบในการอุปการะเลี้ยงดูดังกล่าว
คำสั่งศาลระบุอีกว่า เมื่อคำนึงถึงความผาสุก สวัสดิภาพ และโอกาสของผู้เยาว์ทั้ง 13 คนอันพึงจะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาที่แท้จริง ที่ย่อมต้องมีความรักใคร่ผูกพันต่อบุตรโดยสายเลือดของตนเอง และเป็นผู้มีความใกล้ชิดกับผู้เยาว์มากที่สุด ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีความประพฤติบกพร่องเสียหาย เห็นสมควรมีคำสั่งให้ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องนับแต่วันที่ผู้เยาว์นั้นเกิด และเมื่อได้ความว่าหญิงผู้รับตั้งครรภ์แทน มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับผู้เยาว์ ทุกคนต่างทำบันทึกยอมสละอำนาจปกครองแล้ว เห็นควรให้ผู้ร้องใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้ง 13 คนแต่เพียงฝ่ายเดียว ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งว่า ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง นับแต่วันที่ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเกิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญ- พันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 มาตรา 56 กับให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้ง 13 คนแต่เพียงฝ่ายเดียว ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
สำหรับลูกชายหญิงที่เกิดจากการอุ้มบุญ ทั้งสิ้น 19 คน โดยเป็นลูกเชื้อชาติไทย 13 คน ชาย 8 หญิง 5 คน ญี่ปุ่น 4 คน กัมพูชา 2 คน นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ ได้หอบหิ้วไปเลี้ยงดูฝ่ายเดียวที่ญี่ปุ่น
ขอบคุณภาพจาก https://workpointnews.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี