“ทนกับการจราจรติดขัด-เสี่ยงกับอุบัติเหตุบนท้องถนน-ผจญกับฝุ่น PM2.5”..ดูจะเป็นความชินชาของสังคมไทยไปแล้วและอาจจะไม่มีรัฐบาลไทยชุดใดสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นเลยก็เป็นได้ เพราะปัญหาข้างต้นมีจุดร่วมคือ “การใช้รถยนต์ส่วนตัว” อันเป็นประเด็นอ่อนไหว “เพราะขนส่งมวลชนไม่สะดวกทั่วถึงและประหยัดผู้คนถึงต้องกัดฝันผ่อนรถยนต์-มอเตอร์ไซค์” คือเหตุผลหลักที่ประชาชนจะหยิบยกขึ้นมาคัดค้านทุกครั้งหากมีใครคิดโยนหินถามทางชงนโยบายจำกัดการมีหรือใช้รถยนต์ส่วนตัวขึ้นมา
ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนของไทยไม่ว่าในเมืองหลวงในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ไม่สะดวกทั่วถึงจริงๆ แต่เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจภาครัฐเพราะ “ชุมชนไทยอยู่แบบกระจัดกระจาย” มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งชุมชนแบบเดิมตามป่าตามดอยในชนบทและตามตรอกซอกซอยในเมือง บวกกับเมื่อเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวก็มีโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นตามจุดที่ยังมีที่ดินว่างเปล่าให้ก่อสร้าง เรียกว่ารู้สึกตัวอีกทีก็มีหมู่บ้านจัดสรร อพาร์ตเมนต์หรือแม้แต่คอนโดมิเนียมทั่วไปหมดแล้ว ลักษณะนี้ทำอย่างไรขนส่งมวลชนก็ไม่มีทางเพียงพอ
“ชีวิตที่ต้องทนของคนไทย” ปัญหาการจราจรติดขัดและมลพิษในอากาศ
การอยู่กันแบบกระจัดกระจายนอกจากจะทำให้คนต้องถอยพาหนะมาใช้จนแน่นถนน ใช้กันด้วยพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ เช่น นั่งท้ายรถกระบะหรือให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีขี่มอเตอร์ไซค์ แถมรถจำนวนไม่น้อยเป็นเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งก่อฝุ่นพิษแล้ว ยังมีปัญหา “คุณภาพด้านการศึกษา” ด้วย กล่าวคือ “โรงเรียนขนาดเล็กที่ครูและนักเรียนมีน้อยแต่ไม่สามารถยุบควบรวมได้” ถูกคัดค้านจากชุมชนด้วยเรื่องความสะดวกในการเดินทางทุกครั้งไป เด็กในโรงเรียนเหล่านี้จึงต้องเรียนกับครูไม่ครบชั้นไม่ครบวิชา เพราะรัฐไม่สามารถจัดสรรครูได้ครบถ้วนภายใต้งบประมาณจำกัด
แต่สำหรับ สาธารณรัฐประชาชนจีน ดูจะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาประเทศจีนสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้แบบสำนวน “พลิกแผ่นฟ้าผ่ามหาสมุทร” ครั้งแล้วครั้งเล่าจนผงาดเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลก ดังล่าสุดกับวิกฤติการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 แม้ต้นกำเนิดจะเริ่มที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีนเมื่อสิ้นปี 2562 แต่ขณะนี้มีรายงานว่าทางการจีนควบคุมการระบาดได้แล้ว ถึงขั้นที่สามารถปิดโรงพยาบาลสนามที่ตั้งมารับผู้ป่วยในช่วงแรกๆ ของการระบาดได้ และกิจการในมณฑลหูเป่ยค่อยๆ ทยอยกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง
ปัญหาชุมชนกระจัดกระจายอันเป็นต้นตอของปัญหาอื่นๆ อย่างความยากจนและเหลื่อมล้ำของประชาชนแดนมังกรก็เช่นกัน สำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ของจีน เสนอรายงานพิเศษ “Gulang County in NW China achieves overall poverty alleviation in early 2020” เมื่อ 11 มี.ค. 2563 ว่าด้วยรัฐบาลจีนใช้วิธี “โยกย้าย” ประชาชนที่อาศัยกระจัดกระจายในชุมชนห่างไกลมาตั้งรกรากในพื้นที่รัฐสามารถจัดสาธารณูปโภค-สาธารณูปการต่างๆ ได้สะดวก “แม้จะเป็นวิธีที่ดูรุนแรงแต่ท้ายที่สุดพบว่าช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น” ได้เป็นจำนวนมาก
หมู่บ้านเก่า (ซ้าย) และเมืองใหม่ (ขวา) ในมณฑลกานซู
ที่มาของภาพ : ซินหัว
อาทิ ที่มณฑลกานซู ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ในปี 2556 รัฐบาลท้องถิ่นเริ่มย้ายชุมชนหลายแห่งที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาฉีเหลียน (Qilian Mountains) อันเป็นพื้นที่ที่ผู้คนมีฐานะยากจน ไปอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “หวงฮัวถัน (Huanghuatan)” พร้อมกับการพัฒนาทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมในพื้นที่ใหม่ ในปี 2562 มีรายงานว่าประชาชน 62,400 คนถูกย้ายที่อยู่อาศัย และในต้นปี 2563 ก็สามารถประกาศว่าแก้ไขปัญหาความยากจนได้แล้ว
เช่นเดียวกับรายงาน “China's Guangxi lifts 1.25 mln out of poverty in 2019” เมื่อ 26 ธ.ค. 2562 เล่าถึงเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน สามารถช่วยเหลือผู้คนจาก 1,268 หมู่บ้านให้หลุดพ้นจากความยากจน โดยตลอดแผนปฏิบัติงานระหว่างปี 2559-2563 มีการย้ายประชาชน 710,000 คน ออกจากพื้นที่ที่ไม่อำนวยต่อการอยู่อาศัยไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ที่มีทั้งอ่างเก็บน้ำ โรงเรียนแหละแหล่งงาน โดยยังได้รับการสนับสนุนจากพื้นที่ใกล้เคียงอย่างมณฑลกวางตุ้ง ในการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นเงิน 1.386 หมื่นล้านหยวน หรือ 6.237 หมื่นล้านบาทด้วย
หมู่บ้านใหม่ (ซ้าย) และเก่า (ขวา) ในมณฑลกุ้ยโจว
ที่มาของภาพ : ซินหัว
รวมถึงรายงาน “Poverty-stricken families in China's Guizhou moves into new houses with help of local government” เมื่อ 9 มิ.ย. 2562 ระบุว่า ที่มณฑลกุ้ยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีการย้ายผู้คนจากหมู่บ้านซานเป่า (Sanbao) ที่อยู่บนเนินเขาไปอยู่ในเมือง “อา-เม่ย ฉีโต่ว (A-mei Qituo)” โดยบ้านเรือนในชุมชนใหม่นั้นมีสภาพดีไม่เก่าผุพังแบบหมู่บ้านเดิมที่จากมา ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลท้องถิ่น
นอกจากสำนักข่าวซินหัวแล้ว เว็บไซต์ นสพ.ไชนา เดลี (China Daily) ก็ยังได้นำเสนอรายงานพิเศษ “Relocation provides isolated villagers with better homes and lives” เล่าถึงเขตปกครองตนเองทิเบต ทางตะวันตกของจีน มีหมู่บ้านที่ชื่อ “ทาร็อก (Tarog)” หมู่บ้านแห่งนี้เกิดขึ้นจากการย้ายประชาชน 105 ครัวเรือนจากพื้นที่ภูเขาซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย
ก็อนช็อก (Konchog) หญิงวัย 58 ปี เล่าว่า บ้านเดิมที่เคยอยู่นั้นสร้างจากอิฐโคลนและไม้ อยู่ในหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยภูเขาซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ ห่างจากทาร็อกซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบันไป 12 กิโลเมตร หมู่บ้านเดิมไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา หากต้องการไปพบแพทย์หรือซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ต้องใช้เวลาในการเดินเท้าไป-กลับระหว่างหมู่บ้านกับเมืองชัมโด (Chamdo) ถึง 2 วัน
“ตอนแรกๆ ก็ไม่เต็มใจย้ายเพราะเห็นว่าการปรับปรุงบ้านใหม่มันยุ่งยากเกินไป แต่เมื่อเห็นเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ย้ายออกไปเพราะหวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ฉันกับสามีจึงตัดสินใจทำอย่างเดียวกันบ้าง แน่นอนเราไม่สามารถสร้างบ้านหลังใหม่ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงต้องขอบคุณที่รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับเรา” หญิงวัย 58 ปีรายนี้ กล่าว
เช่นเดียวกับ ทาชิ (Tashi) ชายวัย 69 ปี เล่าว่า สมัยอยู่หมู่บ้านเดิมเคยหาเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงแกะและหาเห็ด ซึ่งนอกจากจะไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้าแล้วการเดินทางยังลำบาก จึงเป็นเรื่องยากที่เด็กๆ ในหมู่บ้านจะได้ไปโรงเรียน กระทั่งในปี 2555 ได้เริ่มชีวิตใหม่ในหมู่บ้านทาร็อก บ้าน 2 ชั้นทาสีขาว-แดง ภายในบ้านตกแต่งด้วยผ้าถักนิตติง เฟอร์นิเจอร์ไม้ ตู้เย็นและชุดเครื่องเสียงที่ลูกชายซื้อให้ ทุกวันนี้รู้สึกว่าชีวิตขึ้นจากเดิมมากราวกับกำลังอยู่ในความฝัน
ข้างต้นทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของ “การแก้ปัญหาแบบจีน” ที่แม้จะมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมของวิธีการที่ใช้ แต่ในแง่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นต้องบอกว่าน่าทึ่ง แต่ก็ต้องบอกว่า “จีนนั้นเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบางอย่าง” ที่ประเทศอื่นๆ คงไม่สามารถเลียนแบบได้!!!
ขอบคุณเรื่องจาก
http://www.xinhuanet.com/english/2020-03/11/c_138867265.htm
http://www.xinhuanet.com/english/2019-12/26/c_138659274.htm
http://www.xinhuanet.com/english/2019-06/09/c_138127655.htm
http://www.chinadaily.com.cn/a/201903/27/WS5c9add17a3104842260b2cd9.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี