30 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟสบุ๊ก “มนุษย์กรุงเทพฯ” ได้โพตส์ข้อความกินใจจากพยาบาลรายหนึ่ง โดยข้อความระบุว่า อาชีพพยาบาลไม่เคยอยู่ในหัวเราเลย จนกระทั่ง ม.6 คนรอบตัวพูดกันว่า ‘สมัยนี้จบปริญญาตรีแล้วยังหางานยาก’ เรากลัวไม่มีงานทำ พอมีทุนนักเรียนพยาบาลเข้ามา เลยตัดสินใจสมัครเข้าไป ตอนเรียนมีทั้งชอบและไม่ชอบ แต่เราไม่ได้มีต้นทุนทางสังคมมาก เป็นเด็กบ้านนอกที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ เลยยอมรับสภาพไป พอเริ่มต้นทำงาน เวลาคนไข้อาการดีขึ้นจนได้กลับบ้าน เราจะมีความสุข ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลรัฐจะมีความกดดันจากระบบบางอย่าง รวมไปถึงความคาดหวังของคนมารับบริการ (เงียบคิดนาน) ถามว่ามีความสุขไหม เรามองว่าอาชีพนี้เป็นแบบนี้ หน้างานต้องแก้ปัญหาทุกวัน เราอยู่ได้แบบไม่เครียดมาก เต็มที่คือบ่นกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้ความเครียดหายไปหรือลดลงบ้าง นักเรียนพยาบาลถูกปลูกฝังมาตลอดว่า ‘เราต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม’ มันคือสิ่งที่เรายึดถือ แม้ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ แต่เราก็อยู่กับอาชีพนี้มาได้แปดปีแล้ว
“ต้นปี 2563 ประเทศไทยเริ่มมีผู้ป่วย COVID-19 รายแรก ตอนนั้นสถาบันบำราศฯ คือผู้รับบทหนัก โรงพยาบาลของเราก็เริ่มเตรียมตัว เจ้าหน้าที่คุยกันว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราต้องปฏิบัติตัวยังไง โรคระบาดเกิดขึ้นอยู่ตลอด เราพร้อมกันในระดับหนึ่ง พอปลายเดือนมกราคม คนที่สงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อวอล์คอินมาที่โรงพยาบาลของเรา แผนกผู้ป่วยนอกคัดกรองก่อน พอสอบประวัติและตรวจอาการแล้วเข้าข่าย คนไข้ต้องไปอยู่ในห้องความดันลบ แล้วดึงคนจากตึกอื่นหมุนเวียนมาดูแล เนื่องจากเป็นโรคระบาดใหม่ พยาบาลเริ่มวิตกกังวลกัน หลังจากนั้นมีคนไข้มาเพิ่มอีกเรื่อยๆ เราเคยดูแลคนไข้โรคอื่นในห้องนี้มาแล้ว แต่พอไม่รู้จักโรคนี้ ทั้งที่มีอุปกรณ์ป้องกัน ในใจก็กลัว มันคือการทำงานตามปกติ แต่เครียดกว่ามาก (เงียบคิด) ถามว่าอยากทำไหม เอาตามตรงก็ไม่อยาก ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง แต่ภายใต้คำว่าหน้าที่ เราต้องดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด"
เวลาเห็นข่าวคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น เราเกิดคำถามว่า เจ้าหน้าที่จะเอาอยู่กันไหม กลัวเหมือนในต่างประเทศที่คนไข้ต้องนอนตามทางเดิน แม้จะดูแลคนไข้มาสักระยะแล้ว แต่ความกลัวไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งช่วงหลังมีข่าวว่าอุปกรณ์ป้องกันขาดแคลน ทำให้บางสถานการณ์ต้องใช้อุปกรณ์น้อยลง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการทำงาน (ถอนหายใจ) เราต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ไปเจอใครมาก ถ้าช่วงอยู่เวรคือไม่ได้กลับบ้านเลย เราต้องอยู่เวรครึ่งเดือนหลังของมีนาคม แล้วตรงกับวันเกิดของแม่ เลยต้องอวยพรกันทางโทรศัพท์ เศร้านิดนึง แต่คนในครอบครัวเข้าใจ ส่งกำลังใจให้ เรากลัวด้วยว่าถ้าติดเชื้อแล้วไม่รู้ตัว กลับไปจะแพร่เชื้อให้พวกเขา เอาจริงๆ เหนื่อยกายไม่เท่าไร สถานการณ์ปกติก็เหนื่อยอยู่แล้ว แต่เหนื่อยใจมากกว่า เรามองว่าสิ่งที่ทำคือหน้าที่ แล้วคิดถึงประโยคนั้นเสมอว่า ‘เราต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม’ ตัวเองภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้
“บุคลากรทางการแพทย์ทุ่มเทกันมากนะ เราเชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววันนี้ พวกเราได้กำลังใจอย่างล้นหลาม ต้องขอบคุณจริงๆ แต่คนจำนวนมากกำลังเครียดเพราะตกงาน ขาดรายได้ ต้องกักตัวเอง ฯลฯ ความเครียดแบบเฉียบพลันอาจทำให้หลายคนรับไม่ไหว บุคลากรในโรงพยาบาลอยู่กับความเครียดมาตลอด ทุกคนเลยจัดการกันได้ดี เลยอยากส่งกำลังใจกลับไปให้ทุกคนด้วย ...เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” #COVID19
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี