หลังจากครั้งก่อน (“โสมขาว-ซามูไร”เอาอยู่ สู้“โควิด”ได้แม้ไม่ปิดเมือง : หน้า 5นสพ.แนวหน้า ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 2 เม.ย. 2563) ได้นำเสนอเรื่องราวของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ในการรับมือวิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยไม่ต้องปิดเมืองไปแล้ว วันนี้ยังคงอยู่กับงานเสวนา (แบบถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live) “จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่นกับการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19” ดำเนินการโดย สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเปรียบเทียบ “จีน-ไต้หวัน” 2 ชาติ ที่มีวิถีทางการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
สุวรรณรัตน์ มีสมบูรณ์พูนสุข อาจารย์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สำหรับประเทศจีนอันเป็นต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ่งที่ดำเนินการ 1.ระบุชนิดของเชื้อ ซึ่งจีนทำได้อย่างรวดเร็วเพียงหลักสัปดาห์ ต่างจากโรคติดต่อในอดีตอย่างโรคเอดส์ที่กว่าจะรู้จักเชื้อ HIV ต้องใช้เวลาเป็นปี หรือโรคซาร์ส (SARS) ต้องใช้เวลานานนับเดือน เป็นต้น 2.ประเมินความพร้อม เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ยาและเครื่องมืออื่นๆ ที่จำเป็น หากไม่พอต้องเร่งจัดหา อาทิ หน้ากากอนามัย ชุดตรวจคัดกรอง
3.บริหารความเสี่ยง ด้วยความที่จีนมีระบอบการปกครองแบบผู้นำมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การสั่งการเป็นไปอย่างรวดเร็วและทุกคนต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้ เช่น สั่งปิดเมืองโดยอนุญาตให้แต่ละครัวเรือนส่งตัวแทน 1 คน ออกไปซื้อเสบียงอาหารและสิ่งของจำเป็นทุกๆ 2 วัน 4.นำเทคโนโลยีมาใช้ จีนมีความพร้อมทางเทคโนโลยีสูงมาก เช่น ก่อนรัฐบาลจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น พื้นที่แรกที่พบการระบาด ได้ให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง อาลีบาบา (Alibaba) ตรวจสอบสินค้าคงคลังไว้แล้วว่าเพียงพอหรือไม่
“ในเจ้อเจียงก็มีการทำคิวอาร์โค้ด (QR Code) ขึ้นมาแทนที่ผ่านด่านตรวจแล้วต้องให้คนกรอกข้อมูล มันอาจจะเสี่ยงจากการจับปากกา มีการสัมผัสอะไรอย่างนี้ มีการสอบถามก็ลดด้วยการใช้คิวอาร์โค้ด แอพพลิเคชั่นนี้มีข้อมูลอยู่แล้ว บุคคลท่านนี้ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เดินทางไปไหนมาบ้าง แล้วมีประวัติด้วยว่ามีไข้หรือมีความเจ็บป่วยอะไรมีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว ฉะนั้นพอเจอด่านตรวจแค่สแกนคิวอาร์โค้ดคือจบ แล้วก็จะมีโค้ดบอกว่าสีเขียว สีฟ้า สีเหลือง คืออันตรายมากน้อยแค่ไหน เจ้าหน้าที่ก็สามารถคัดกรองได้เลย” อาจารย์สุวรรณรัตน์ ยกตัวอย่าง
ในขณะที่ ไต้หวัน ซึ่งอยู่ใกล้กับจีนมาก “ข้อได้เปรียบของไต้หวันคือใช้ภาษาเดียวกับจีน (แผ่นดินใหญ่) ไม่จำเป็นต้องรอรับข้อมูลจากจีนแล้วมาผ่านการแปลแบบชาติอื่นๆ จึงรวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว” เมื่อประกอบกับพรรคการเมืองต้นสังกัดของ ไช่อิงเหวิน ผู้นำไต้หวัน มีนโยบายให้ไต้หวันเน้นพึ่งพาตนเองมากกว่าพึ่งพาจีน การออกนโยบายจึงทำได้เต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจจีน
เมื่อมั่นใจว่าในจีนเกิดโรคระบาดขึ้นแน่นอนแล้วสิ่งที่รัฐบาลไต้หวันทำแทบไม่ได้ต่างจากจีน ทั้งการเตรียมความพร้อม ประเมินความเสี่ยงและนำเทคโนโลยีมาช่วยดำเนินการ เช่น หน้ากากอนามัยต้องผลิตให้เพียงพอกับความต้องการใช้งานในประเทศก่อน เหลือแล้วจึงค่อยส่งออก มีการทำแอพพลิเคชั่นระบุตำแหน่งร้านค้าที่มีหน้ากากอนามัยจำหน่าย จำกัดจำนวนการซื้อด้วยฐานข้อมูลประกันสังคม ทำให้ประชาชนไม่ต้องไปหาซื้อไกลบ้าน เมื่อลดการเดินทางได้ก็ลดการพบปะกับผู้คนอันเป็นปัจจัยการแพร่เชื้อไปโดยปริยาย
“จำนวนประชากรไต้หวัน 24 ล้านคน ถ้าเทียบกับประชากรจีนจะต่างกันมาก แล้วก็เนื่องจากสังคมของเขา การเดินทาง ระเบียบวินัยจะได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่นมาค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นการซื้อของจะมีการต่อแถวค่อนข้างเป็นระเบียบอยู่แล้วระดับหนึ่ง โรคนี้จะคุมอยู่ต้องอาศัยความร่วมมือทั้ง 3 ฝ่าย (รัฐ เอกชน ประชาชน) ประชาชนต้องศึกษาข้อมูลและค่อนข้างมีวินัยอยู่แล้ว” อาจารย์สุวรรณรัตน์ ระบุ
การตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งที่ส่งผลให้การควบคุมการระบาดของไต้หวันมีประสิทธิภาพคือ “ลดการเชื่อมต่อระหว่างไต้หวัน-จีน” อาทิ ประกาศยกเลิกเที่ยวบินไต้หวัน-อู่ฮั่น ตั้งแต่เริ่มมีข่าวโรคระบาด นอกจากนี้การที่ไต้หวันมีประสบการณ์ตรงในการระบาดของโรคซาร์ส (SARS)ไม่ต่างจากจีน ประชาชนจึงเตรียมพร้อมด้านการป้องกัน เช่น ใส่หน้ากากอนามัยอย่างคุ้นเคยเมื่อเทียบกับผู้คนในโลกตะวันตก อีกทั้งการที่ ไช่อิงเหวิน ชนะเลือกตั้งผู้นำไต้หวันด้วยคะแนนล้นหลาม หรือก็คือได้รับความนิยมจากประชาชน ดังนั้นประชาชนพร้อมให้ความร่วมมือ
อนึ่ง “ทั้งจีนและไต้หวันต่างเป็นชาติร่ำรวย”การบริหารจัดการจึงทำได้ง่าย เช่น หลังสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไต้หวันเริ่มควบคุมได้ รัฐบาลก็จัดงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ระหว่างยังมีมาตรการปิดประเทศจำกัดการเดินทางเข้าไปของชาวต่างชาติ ซึ่งเน้นช่วยผู้ประกอบการรายย่อย อาทิ ร้านขายของชำหรือแผงลอยในตลาดนัดกลางคืน ขณะที่จีนสามารถทุ่มงบประมาณไปกับการรักษาได้เต็มที่ เช่น กว้านซื้อยาที่จำเป็นจากบริษัทของญี่ปุ่น หรือสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“ถ้าตั้งข้อสังเกตทั้ง 2 ประเทศ เวลาที่ท่านผู้นำประกาศกฎระเบียบ เขาไม่ได้ขอความร่วมมืออย่างเดียว เขามีแนบมาด้วยว่าถ้าท่านไม่ทำตามจะได้รับบทลงโทษรุนแรงแค่ไหน อย่างจีนตอนที่เกิดความวุ่นวายมากๆ ตอนอู่ฮั่น มีผู้ป่วยไปกระชากหน้ากากหมอออกมาแล้วถุยน้ำลายใส่หน้าหมอ บอกว่าถ้าฉันตายเธอต้องตายไปกับฉัน จีนออกมาประกาศกฎหมายเลย ถ้าใครทำแบบนี้มีโทษประหารชีวิตหรือติดคุกตลอดชีวิต
ขณะที่ไต้หวันมีกรณีไปประเทศที่สุ่มเสี่ยงมา แล้วกลับมาหลีกเลี่ยงไม่ยอมรายงาน ก็คือปรับ 3 แสนบาท คือไม่ใช่แค่ขอความร่วมมืออย่างเดียว เราต้องเข้าใจว่าคนมีการศึกษา มีพื้นฐานทางครอบครัว มีความเชื่อศาสนาแตกต่างกันใช้ชีวิตแตกต่างกัน ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนอย่างแน่นอน เพราะอันนี้เป็นเรื่องโรคระบาด มันซีเรียส ก็จะต้องใช้มาตรการทางกฎหมายในการบังคับด้วย”อาจารย์สุวรรณรัตน์ กล่าว
ท้ายที่สุดแล้ว “ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์จะตื่นตระหนก..เพราะทุกคนย่อมอยากมีชีวิตรอด” ภาพการกักตุนสิ่งของจำเป็นในยามวิกฤติจึงเกิดขึ้นทั่วไปไม่ว่าที่ใดในโลกดังนั้นสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ “บทบาทของรัฐในการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน” ให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องจะได้ไม่ตื่นตระหนก ทั้งนี้ “บทเรียนบางเรื่องของไต้หวันสามารถนำมาปรับใช้ได้แม้ในประเทศที่ไม่ร่ำรวย” เช่น การกระจายหน้ากากอนามัย การทำแอพพลิเคชั่นแบบที่ไต้หวันทำนั้นไม่ยากเกินความสามารถของคนไทย
ขึ้นอยู่กับรัฐด้วยว่าจะยอมให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสตั้งแต่ออกจากโรงงานไปจนถึงวางจำหน่ายตามร้านค้าหรือเปล่า?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี