“..ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตเสมอ โรคมีอีกเยอะ ถุงยางอนามัยมีอัตราป้องกันการติด HIV ได้ประมาณ 80-90% เท่านั้นรู้ไหม? แล้วมนุษย์เลิกมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ทั้งที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและตาย ไม่เลิกและเลิกไม่ได้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในฐานะสัตว์สังคมพันธุ์มนุษย์ ลดความตื่นตระหนกก่อนที่จะทำให้อำนาจรัฐถูกใช้ไปในทางที่หลงและละเมิดสิทธิในการใช้ชีวิต ประกอบอาชีพและเข้าถึงการศึกษามากกว่านี้..” 10 เม.ย. 2563 จากเฟซบุ๊ค M.L. Nattakorn Devakula
“..หน้ากากใส่ เว้นระยะเว้นแต่ชีวิตต้องกลับมา และโรงเรียนเปิดตรงเวลา อย่าพรากการประกอบอาชีพไปจากคนและอย่าพรากการศึกษาไปจากเด็ก..อัตราผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตทุกวันน้อยเกินไปที่จะปิดอะไรแล้ว คืนชีวิตให้กับเราทุกคน ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก คุณไม่ใช่เจ้าของชีวิตเรา คืนชีวิตให้กับเรามาได้แล้ว หยุดละเมิดสิทธิของปัจเจกบุคคลซะที..” 12 เม.ย. 2563 จากทวิตเตอร์ Nattakorn Devakula
2 ความเห็นข้างต้นของ “คุณปลื้ม” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ซึ่งก็ต้องบอกว่ามีเหตุผลอยู่ไม่น้อย “มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้แยกจากสังคม” ดังที่เว็บไซต์นิตยสาร Science News สหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ “Social distancing comes with psychological fallout” กล่าวถึงปัญหาสุขภาพจิตอันเป็นผลข้างเคียงของแนวคิด “การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)” ที่ได้รับการส่งเสริมให้ทำเพื่อลดการระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19)
บทความดังกล่าวเผยแพร่เมื่อ 29 มี.ค. 2563 อ้างความเห็นของ ดาเมียร์ ฮัวร์โมวิค (Damir Huremovic) จิตแพทย์จาก Northwell Health ในเขต Manhasset เมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า “การปิดกั้นผู้คนออกจากกันเป็นเวลาหลายเดือนคือผลกระทบรองจากการระบาดของโรค” ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความไม่สงบในสังคมและการว่างงาน อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตที่กว้างขวางและไม่อาจคาดเดาได้ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ไปถึงจุดนั้น
แม้ทาง องค์การอนามัยโลก (WHO) ตลอดจนบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข “ไม่อยากให้รัฐบาลประเทศต่างๆ รีบผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown)” ปิดบ้าน-ปิดเมือง และแยกคนออกจากกันให้มากที่สุดเพราะ “กลัวไวรัสโควิด-19 จะกลับมาระบาดอีก” แต่เมื่อได้รับทราบข้อมูลว่า “กว่าจะมีวัคซีนอันหมายถึงวันเผด็จศึกไวรัสโควิด-19 ได้อย่างสมบูรณ์ต้องใช้เวลาอย่างเร็ว 12-18 เดือน” ความกังวลที่ว่า “ถ้าต้องหยุดกิจกรรมเพื่อรอวันนั้น..คนจะไม่ติดโรคตายแต่จะอดตายกันหมดก่อน” ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ
เพราะต้องยอมรับว่า “กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ส่วนใหญ่ต้องเดินทางและต้องรวมกลุ่มพบปะกัน” ไม่ว่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การค้าขายตั้งแต่ในตลาดไปจนถึงห้างสรรพสินค้า การเรียนการสอน การฝึกอบรม ประชุม-สัมมนา การเดินทางท่องเที่ยว การพักผ่อน เลี้ยงสังสรรค์ สันทนาการ ฯลฯ ทุกภาคส่วนนี้ยึดโยงเข้าด้วยกันเป็นเหมือนเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนชีวิตผู้คนในสังคม ปัจเจกชนมีรายได้จากการทำงาน นายทุนผู้ประกอบการมีรายได้จากผลกำไรและรัฐมีรายได้จากการเก็บภาษีจากทุกบาททุกสตางค์ที่ผู้คนใช้จ่าย
นั่นจึงนำไปสู่แนวคิด “จะออกจากล็อกดาวน์ได้อย่างไร?” ซึ่งที่ผ่านมามีก็หลากแนวคิดจากหลายประเทศ เช่น อังกฤษ เว็บไซต์ นสพ.Daily Mail เสนอข่าว “Releasing 20 to 30-year-olds who no longer live with their parents could be the best route out of lockdown and avoid an ‘extraordinary recession’, experts suggest — but at the cost of around 630 extra deaths” เมื่อ 8 เม.ย. 2563 ว่าด้วยแนวคิด “ปล่อยคนอายุ 20-30 ปี ออกมาทำงานก่อน” ที่เสนอโดยคณะนักวิจัยจาก University of Warwick เมืองโคเวนทรี
คณะผู้วิจัยให้เหตุผลว่า คนวัยหนุ่ม-สาว โดยเฉพาะอายุ 20-30 ปี แม้จะติดเชื้อโควิด-19 แต่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำมาก หากให้คนกลุ่มนี้ออกมาทำงาน อย่างน้อยก็น่าจะทยอยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดเล็กกลับมาดำเนินการได้ แต่ก็มีข้อจำกัดคือคนหนุ่ม-สาวนั้นจะต้องไม่ได้พักอยู่ที่เดียวกับผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่หากติดเชื้อแล้วมีโอกาสเสียเสียชีวิตสูง นอกจากนี้สุ่มเสี่ยงที่จะมีประชากรวัยดังกล่าวเสียชีวิตได้มากถึง 630 คน อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันอังกฤษยังคงอยู่ในช่วงล็อกดาวน์อยู่
ออสเตรีย เป็นประเทศแรกในทวีปยุโรปที่ประกาศแผนเลิกล็อกดาวน์ชัดเจน เว็บไซต์ นสพ.The Irish Times ของไอร์แลนด์ เสนอข่าว “Coronavirus: Could Austria show us the way out of lockdown?” เมื่อ 9 เม.ย. 2563 ใช้วิธี “เลิกล็อกดาวน์ทีละประเภทธุรกิจ” ไล่ตั้งแต่ร้านค้าขนาดเล็กในวันที่ 14 เม.ย. 2563 จากนั้นในวันที่ 1 พ.ค. 2563 กิจการอื่นๆ ที่เหลือจึงได้รับอนุญาตให้เปิด ยกเว้นสถาบันการศึกษาจะเปิดช่วงกลางเดือน พ.ค. 2563 สุดท้ายกิจกรรมที่เป็นการชุมนุมของผู้คนจำนวนมากในพื้นที่สาธารณะจะได้รับอนุญาตในเดือน ก.ค. 2563
จีน ต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19 ใช้วิธี “ปิดและเปิดตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่” โดยในวันที่ 23 ม.ค. 2563 มีการปิด 10 เมือง ในมณฑลหูเป่ย์ ได้แก่
อู่ฮั่น (Wuhan) หวงกัง (Huangang) อี้โจว (Ezhou) ฉีบี(Chibi) จีเจียง (Zhijiang) หวงซี (Huangshi) เซียนเถา (Xiantao) เอินซี (Enshi) เฉียนเจียง (Qianjiang) และเซียนหนิง (Xianning) ในเวลาต่อมาเมื่อสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในจีนเริ่มคลี่คลาย เฉียนเจียงเป็นเมืองแรกที่เปิดในวันที่ 11 มี.ค. 2563 ส่วนอู่ฮั่น อันเป็นเมืองแรกที่พบการระบาด ได้กลับมาเปิดเป็นเมืองสุดท้ายในวันที่ 8 เม.ย. 2563
ในการประชุมคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เมื่อ 13 เม.ย. 2563 กลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงนี้ผู้ประกอบการประเมินว่าจะมีแรงงานตกงาน 7 ล้านคน แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้ออีก 2-3 เดือน โดยที่ไม่มีมาตรการดูแลผู้ประกอบการเพิ่มเติมจะทำให้มีคนตกงานเพิ่มเป็น 10 ล้านคน ขณะที่มีรายงานว่า ในบางจังหวัดเริ่มให้บางกิจการ เช่น ร้านตัดผม-เสริมสวย ร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือ ร้านขายวัสดุก่อสร้าง กลับมาเปิดทำการแล้ว
ดังนั้น ณ ปัจจุบันที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยเริ่มลดความรุนแรงลง ผู้มีอำนาจจากส่วนกลางควรพิจารณาว่ากิจการใดน่าจะกลับมาเปิดได้ก่อนบ้างเพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน รวมถึงพิจารณาเป็นรายพื้นที่ว่าจุดใดควรเข้มงวดต่อไปหรือจุดใดควรผ่อนคลายลงบ้างหรือไม่ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอันหมายถึงปากท้องของประชาชนกลับมาดำเนินใกล้เคียงปกติโดยเร็วที่สุด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี