“สิงคโปร์” ประเทศเกาะเล็กๆ แต่มีความเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ การศึกษา รวมถึงเทคโนโลยี ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่ทั้งโลกเข้าสู่วิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) สิงคโปร์ได้รับเสียงชื่นชมว่า “เอาอยู่” จากการติดตามตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง ควบคุมผู้ต้องกักกันโรคเป็นเวลา 14 วัน โดยลงโทษอย่างรุนแรงหากฝ่าฝืน รวมถึง “ปิดประเทศ” ห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้า ทำให้ในช่วงเดือน มี.ค. 2563 มียอดผู้ติดเชื้อน้อยมาก
แต่ท่ามกลางเสียงชื่นชมนั้นเอง รัฐบาลและชาวสิงคโปร์ได้เปิด “ช่องโหว่” ทำให้ไวรัสโควิด-19 แผลงฤทธิ์จนควบคุมไม่ได้ ถึงขั้นต้องงัดมาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” สั่งปิดกิจการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อตัดการพบกันของคนอันเป็นช่องทางการระบาดของโรคมาใช้ แม้จะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศและการทำมาหากินของประชาชนอย่างมากก็ตาม
โดย ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวเมื่อ 21 เม.ย. 2563 ว่า “จะขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปถึงวันที่ 1 มิ.ย. 2563 จากเดิมที่ใช้มาตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 2563” ซึ่งในวันที่ 21 เม.ย. 2563 มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19สะสมรวม 9,125 คน “ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ร้อยละ 76 เป็นแรงงานข้ามชาติ (หรือแรงงานต่างด้าว) ที่อาศัยอยู่ตามหอพัก” รองลงมา ร้อยละ 20 เป็นผู้ป่วยที่ไม่มีความเชื่อมโยงกัน และหลังจากนั้นก็ยังคงเพิ่มขึ้นในลักษณะเดิม
15 เม.ย. 2563 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอรายงานพิเศษ“In Singapore, migrant coronavirus cases highlightcontainment weak link” อ้างถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ที่ระบุว่า สิงคโปร์มีแรงงานข้ามชาติประมาณ 3 แสนคน จากประชากรทั้งประเทศ 5.7 ล้านคน แรงงานเหล่านี้อาศัยอยู่อย่างแออัดในห้องพักแคบๆ และไม่สะอาด อีกทั้งการกระจายหน้ากากอนามัย อุปกรณ์สำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อผ่านน้ำมูก-น้ำลายจากจมูกและปาก รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้นับรวมแรงงานข้ามชาติเป็นกลุ่มเป้าหมายด้วย
ด้านมาตรการกักโรค ขณะที่พลเมืองสิงคโปร์ ซึ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศถูกนำตัวไปกักไว้ในโรงแรมหรูแรงงานข้ามชาติที่ถูกกักตัวกลับต้องอยู่ในห้องพักที่ห้องน้ำถูกปิดกั้นและถังขยะล้น นอกจากนี้ เดิมทีแรงงานข้ามชาติบางส่วนเข้าถึงบริการสาธารณสุขผ่านองค์กรการกุศล Health Serve ด้วยความที่ค่าบริการถูกกว่าคลินิกของรัฐกระทั่งเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2563 รัฐบาลสิงคโปร์กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ของรัฐทำงานได้ในสถานพยาบาลเพียงแห่งเดียวเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อข้ามสถานที่ จำนวนบุคลากรที่มาทำงานให้กับ Health Serve ก็ลดลง
แรงงานข้ามชาติเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทั่วโลก โดยเมื่อพลเมืองท้องถิ่นส่วนใหญ่ มีการศึกษาสูงขึ้นก็จะเลือกทำงานที่ให้ผลตอบแทนดีแต่ไม่ลำบากและไม่เสี่ยงมากนัก แต่งานกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “3D” อันประกอบด้วย Dirty (สกปรก) Dangerous (อันตราย) Difficult (ลำบาก) เช่น ก่อสร้าง ประมง แรงงานภาคเกษตร คนทำความสะอาดและเก็บขยะ ก็ยังมีความสำคัญต่อประเทศ รัฐบาลของประเทศเหล่านั้นจึงต้องเปิดช่องให้มีการนำแรงงานข้ามชาติจากประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าเข้ามาทดแทนในงานที่คนท้องถิ่นไม่ทำ
สำหรับ “ประเทศไทย” รายงาน “สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือทั่วราชอาณาจักร ประจำเดือนธันวาคม 2562” ซึ่งจัดทำโดย สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน พบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีแรงงานข้ามชาติทั้งหมด 3,017,416 คน ในจำนวนนี้มาจาก 4 ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างเมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวมกันแล้วมากถึง 2,722,424 คน กระจายกันไปทั้งในงานที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเกษตรและปศุสัตว์งานก่อสร้าง งานบริการ งานผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
สมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ซึ่งมีพื้นที่ปฏิบัติงานหลักอยู่ใน จ.สมุทรสาคร หนึ่งในจังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก เชื่อว่า “ไทยจะไม่ซ้ำรอยสิงคโปร์” อาทิที่ จ.สมุทรสาคร มีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ภาครัฐ นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชนโดยสถานประกอบการที่ยังเปิดทำงาน รวมถึงภาคประชาสังคม (NGO) เช่น LPN ในการเข้าถึงประชากรในส่วนที่ยังขาด
ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีการลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่างๆ เพื่อทำความสะอาด เช่น ไปฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากชุมชนเป็น
อย่างดี นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว (อสต.) ซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการฝึกอบรมด้านสาธารณสุขมูลฐาน ทำหน้าที่ให้ความรู้และดูแลแรงงานข้ามชาติด้วยกันในเบื้องต้น เป็นกลไกแบบเดียวกันกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มาจากคนในชุมชนและทำหน้าที่ให้ความรู้และดูแลคนในชุมชนด้วยกันของชุมชนชาวไทย
สมพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์ป้องกันโรคระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร สิ่งสำคัญคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ใช้ภาษาเดียวกับแรงงาน ซึ่งทาง LPN จัดทำเฟซบุ๊คแฟนเพจที่เน้นกลุ่มเป้าหมายแรงงานชาวเมียนมาและกัมพูชา เป็นศูนย์กระจายข่าวสารที่แรงงานควรรู้ อาทิ มาตรการเคอร์ฟิวห้ามออกจากที่พักระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. รวมถึงวิธีการดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงโรค
“เราสื่อสารให้คนปฏิบัติตามได้ เช่น ถ้าคุณอยู่ที่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องใช้เจลแอลกอฮอล์ ใช้สบู่ดีที่สุด อาบน้ำใช้สบู่ล้าง ทำกิจกรรมสบู่ล้างมือ เจลเอาไว้ค่อยออกไปข้างนอก คุณไปสถานที่ใดเขามีเจลรับรองอยู่แล้ว คือให้รู้ว่าที่อยู่ใกล้มือเขาสำคัญที่สุด สบู่ก้อนหนึ่งมันใช้ได้หลายวัน แล้วตรงไหนไม่มีหน้ากากใช้ ถ้าเป็นพื้นที่ที่ผมเข้าถึงแรงงานจะมีการสอบถามว่าตรงนั้นมีหน้ากากไหม? ถ้าไม่มีเรามีทีมฉุกเฉิน (Emergency Team) ลงเอาไปให้” สมพงษ์ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง กรมการจัดหางาน กำชับให้สถานประกอบการ 1.เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสของสถานที่ที่เกี่ยวข้องก่อนการจัดกิจกรรม และให้กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน 2.ให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ ผู้ร่วมงานผู้ร่วมกิจกรรม ลูกจ้าง ผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า และล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอลล์ เจล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค 3. เว้นระยะห่าง หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร และ 4.ให้ควบคุมจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมไม่ให้แออัด หรือลดเวลาในการทำกิจกรรมให้สั้นลงเท่าที่จำเป็น โดยถือหลักการหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน
ในเร็วๆ นี้ที่จะมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ กิจการบางอย่างจะกลับมาเปิดทำการ มาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดครั้งใหญ่เป็นระลอก 2 ต้องทำอย่างทั่วถึง..เพราะโรคภัยนั้นทุกคนเป็นได้ไม่เลือกเผ่าพันธุ์สัญชาติศาสนาแต่อย่างใด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี