“โควิด-19 (COVID-19)” หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะคุมได้พอสมควรแล้วถึงขั้นที่รัฐบาลเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์(Lockdown) ให้กิจการบางประเภทกลับมาเปิดได้ แต่เมื่อมองออกไปไม่ไกล “กลุ่มประชาคมอาเซียน (ASEAN)” หลายประเทศยังอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง อาทิ สิงคโปร์ ที่ช่วงแรกๆ ได้รับเสียงชื่นชมว่ารับมือได้ดีเพราะพบผู้ติดเชื้อน้อยมาก กระทั่งมาเกิดการระบาดลุกลามใหญ่โต จากความผิดพลาดที่มาตรการป้องกันโรคไม่ได้นับรวมแรงงานข้ามชาติเป็นกลุ่มเป้าหมายด้วย
อินโดนีเซีย ก็เป็นอีกประเทศที่ต้องจับตา เพราะก่อนหน้าที่สิงคโปร์จะมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขึ้นอันดับ 1 ของอาเซียนในปัจจุบัน ย้อนไปช่วงปลายเดือน มี.ค.-ต้นเดือน เม.ย. 2563 อินโดนีเซียติด 1 ใน 3 อันดับแรก ของอาเซียนที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด แต่ที่น่าเป็นห่วงคือในช่วงเวลาดังกล่าวพบว่าผู้ติดเชื้อในอินโดนีเซียมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ ทำให้ทางการไทยต้องเฝ้าระวังประชาชนที่ไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม โดยเมื่อเดินทางกลับมาต้องถูกนำไปกักตัวในสถานที่ที่กำหนดเป็นเวลา 14 วัน
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาหัวข้อ “การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมในมาเลเซียและอินโดนีเซียกับการแพร่กระจายของโควิด-19” โดยถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ ซึ่ง ชนม์ธิดา อุ้ยกูล อาจารย์โครงการการวิเทศคดีศึกษา (อาเซียน-จีน) หลักสูตรนานาชาติ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าว่าในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2563 หรือช่วงแรกๆ ที่อินโดนีเซียมีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเวลานั้นยอดผู้ติดเชื้อยังไม่พุ่งสูงมากนักสาเหตุอาจเป็นเพราะข้อจำกัดในการตรวจคัดกรอง
“การตรวจในแต่ละครั้งจะต้องส่งไปที่เมืองหลวง โดยใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ถึงจะทราบผล ซึ่งเห็นได้ว่าระบบสาธารณูปโภคของเกาะต่างๆ ในอินโดนีเซียยังไม่มีความพร้อมที่จะรับมือ โรงพยาบาลในประเทศมีทั้งหมด 132 แห่ง จึงทำให้รัฐบาลของอินโดนีเซียเร่งสร้างโรงพยาบาลเพื่อรับมือกับปัญหา และสั่งเครื่องตรวจเชื้อโควิด-19 แบบตรวจเร็วจากประเทศจีน 1 ล้านชิ้น ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อการตรวจ เพราะประชากรในประเทศมีทั้งหมด 263 ล้านคน” อาจารย์ชนม์ธิดา กล่าว
ขณะที่มาตรการจำกัดกิจกรรมต่างๆ ที่มีผู้คนมารวมตัวกันเพื่อตัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นการ “ขอความร่วมมือ” เช่น ให้ประชาชนทำงานที่บ้าน (Work from Home) รวมถึงปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ให้เปิดได้เพียงแผนกซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนักเพราะประชาชนจำนวนมากยังต้องออกมาทำงานนอกบ้านและต้องพึ่งพาระบบขนส่งมวลชน “ความแออัด” จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการระบาดในวงกว้าง โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงจาการ์ตา
“ความไม่ตระหนัก” ของประชาชน เป็นอีกปัจจัยให้เกิดความเสี่ยง อาจารย์ชนม์ธิดายกตัวอย่าง แม่กับลูกไปพบกับหญิงชาวญี่ปุ่นในงานงานหนึ่งซึ่งจัดในกรุงจาการ์ตา ในภาคหลังพบว่าหญิงชาวญี่ปุ่นรายนี้ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้แม่-ลูกคู่นี้ไปตรวจและพบว่าติดเชื้อเช่นกัน ขณะที่เกาะบาหลี ทางการท้องถิ่นเชื่อว่าจะไม่มีคนท้องถิ่นติดเชื้อด้วยกันเอง หากติดก็คงติดมาจากคนภาคนอก จึงทำให้ยังใช้ชีวิตตามปกติ และแม้หลังจากนั้นจะมีกฎห้ามการรวมกลุ่มคนจำนวนมากโดยมีโทษจำคุก 16 เดือนสำหรับผู้ฝ่าฝืน แต่งานเทศกาลประจำปีของผู้นับถือศาสนาฮินดูก็ยังไม่ยกเลิก
“รัฐต้องมีความพยายามสื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความรุนแรงและอันตรายของโรคนี้ แต่โดยพื้นฐานชาวอินโดนีเซียมีความเชื่อทางศาสนาเป็นอย่างมาก ซึ่งสถาบันทางศาสนาในอินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญต่อประชาชนเป็นอย่างมาก จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่กลัวทำผิดหลักศาสนา โดยสถาบันศาสนาสามารถทำให้ประชาชนทำตาม เช่น ห้ามกักตุนสินค้าเพราะเป็นสิ่งที่ผิด เป็นต้น ซึ่งประชาชนก็ทำตามโดยที่ก่อนหน้านี้ยังมีการกักตุนสินค้า” อาจารย์ชนม์ธิดา ระบุ
นอกจากงานเสวนาข้างต้นแล้ว ยังมีรายงานข่าวทำนอง “อินโดนีเซียก็มีข้อจำกัดเหมือนประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ทั่วโลก ที่ไม่สามารถใช้มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ได้เต็มที่” จากปัจจัยสำคัญคือ “แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคม” อาทิ สำนักข่าว ABC ออสเตรเลีย เผยแพร่บทความ “Coronavirus is on the verge of exploding in Indonesia and 240,000 could die” เมื่อ 8 เม.ย. 2563 ตอนหนึ่งระบุว่า ชาวอินโดนีเซียร้อยละ 70 เป็นแรงงานอยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบและมีรายได้แบบหาเช้ากินค่ำ ซึ่งรูปแบบงานนั้นไม่อาจทำจากที่บ้านได้
นอกจากนี้ “ในบางพื้นที่ยังพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก” ดังที่เว็บไซต์ นสพ.China Daily สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เสนอข่าว “Tourism industry in Indonesia’s Bali hit hard by COVID-19 pandemic” เมื่อ10 เม.ย. 2563 ตอนหนึ่งระบุว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19กระทบต่อเกาะบาหลี เมืองท่องเที่ยวสำคัญของอินโดนีเซียอย่างมาก โดย ไอ ปูตู อัสตาวา (I Putu Astawa)ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวเกาะบาหลี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจบนเกาะร้อยละ 50.3 ขับเคลื่อนโดยการเดินทางและการท่องเที่ยว แต่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปหมด
ปัจจุบันอินโดนีเซียอยู่ระหว่างใช้หลากหลายมาตรการเพื่อต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 อาทิ การล็อกดาวน์พื้นที่เมืองใหญ่อย่างกรุงจาการ์ตา ซึ่งกิจการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นจะถูกปิดยาวนานไปจนถึงวันที่ 22 พ.ค. 2563 ขณะที่บางเมืองใช้มาตรการแปลกๆ เช่น ผู้ที่เดินทางมาจากเมืองอื่นหากฝ่าฝืนมาตรการกักตนเอง 14 วัน จะถูกจับไปกักตัวในบ้านร้างที่มีบรรยากาศชวนหลอน รวมถึงในช่วงนี้ที่เป็นเดือนรอมฎอน ทางการได้ขอความร่วมมือชาวอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม งดประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่มัสยิด
สถิติ ณ วันที่ 29 เม.ย. 2563 อินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมรวม 9,511 คน เสียชีวิต 773 รายรักษาหายแล้ว 1,254 คน ซึ่งก็หวังว่าประเทศที่มีประชากรถึง 267 ล้านคน หรือมากที่สุดในอาเซียน อีกทั้งมีความผูกพันทางสังคม-วัฒนธรรมกับประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จะพ้นจากวิกฤตินี้ได้โดยเร็ววัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี