การปฏิบัตินี้จะต้องมีการศึกษาควบคู่กันไป ไม่แยกกัน ไม่ใช่ศึกษาอย่างเดียว ศึกษาให้มันจบพระไตรปิฎก แล้วค่อยมาปฏิบัติ อันนี้ไม่ใช่วิธีศึกษาปฏิบัติ ต้องศึกษาพร้อมๆ กับการปฏิบัติควบคู่กันไป ศึกษาเรื่องทานก่อน รู้ว่าทำทานทำอย่างไร ทำกับใคร จะได้อะไรอย่างไร ก็เลือกทำเอาตามที่เราต้องการ รักษาศีล รักษาอย่างไร มีกี่ข้อ ก็ต้องศึกษา ศึกษาแล้วก็นำไปรักษาเลย ไม่ใช่รู้เฉยๆ แต่ก็ยังไม่รักษา รู้ว่าทำบุญทำทานแล้วได้อะไร ก็ยังไม่ทำ อย่างนี้ก็เสียเวลาเปล่าๆ แล้วเดี๋ยวมันจะลืม ศึกษาแล้วถ้าไม่ทำมันจะลืม แต่ถ้าศึกษาแล้วทำควบคู่กันไปด้วย มันจะไม่ลืม มันจะเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น มันจะได้สัมผัสกับผลที่เกิดจากการปฏิบัติเลย
เพราะฉะนั้นอย่าศึกษาอย่างเดียว อย่าปฏิบัติอย่างเดียว มันต้องไปควบคู่กัน เหมือนเท้าซ้ายกับเท้าขวานี่ เราต้องใช้ทั้ง ๒ เท้า ถ้ามีเท้าเดียวมันก็ต้องกระโดดไป ต้องมีขาเทียมมาช่วย ดังนั้นการศึกษากับการปฏิบัตินี้มันไม่ได้แยกกันเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ทางศาสนาท่านแยกศึกษากับปฏิบัติ อ้าวบวชแล้วเรียนให้จบเปรียญ ๙ ก่อน แล้วค่อยไปปฏิบัติ ส่วนใหญ่พอมันจบเปรียญ ๙ แล้วมันก็ติด มันก็ไปไม่ออก ไม่ไปปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นต้องศึกษาปฏิบัติควบคู่กัน ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่สอนทั้งสองอย่าง สอนให้ศึกษา สอนวิธีปฏิบัติ แล้วก็ให้ปฏิบัติควบคู่กันไป อย่างทางสายวัดป่านี่แหละ ท่านสอนแบบพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลท่านก็สอนอย่างนี้ ท่านไม่ได้แยกปริยัติออกจากปฏิบัติ ท่านไม่ได้ตั้งโรงเรียนให้สำหรับเรียนอย่างเดียว ท่านเป็นวัดที่มีทั้งการเรียนมีทั้งการปฏิบัติควบคู่กันไป สอนให้ภาวนาก็ภาวนากันไป สอนให้เจริญสติก็เจริญกันไป ไม่ได้สอนแล้วให้เอามาท่องจำเฉยๆ เสร็จแล้วก็มาสอบ สอบความจำไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้เอาไปสอบด้วยการปฏิบัติ สอบดูว่าทำแล้วจะได้ผลไหม ใจสงบไหม มีความสุขไหม อันนี้ต่างหากคือการสอบ ไม่ใช่มาท่องจำชื่อธรรมะต่างๆ
เช่น วันนี้จำได้หรือเปล่าที่พูดนี้มีอะไรบ้าง เดี๋ยวจะให้สอบ เดี๋ยวจะให้ข้อสอบมาสอบ อันนี้ไม่ได้ ถึงแม้จะสอบได้ ก็ยังไม่ได้ประโยชน์อะไร เพียงแต่รู้ว่าจำได้เท่านั้นเอง ยังต้องเอาไปปฏิบัติ ยังต้องเอาไปทำต่อ ต้องเอาไปทำทาน ต้องเอาไปรักษาศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ตามกำลัง แล้วก็ไปฝึกภาวนา ก่อนจะภาวนาก็ต้องฝึกสติก่อน ถ้าไม่มีสตินั่งแล้วมันจะไม่สงบ นั่งแล้วมันจะคิดฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่เห็นผล แล้วก็จะไม่อยากจะนั่ง เพราะฉะนั้น ก่อนจะนั่งเราก็ต้องมีสติก่อน ต้องควบคุมใจให้ได้ก่อน ควบคุมความคิดให้ได้ก่อน ต้องหยุดความคิดให้ได้ ถึงแม้จะไม่ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องหยุดมันได้บ้าง พอให้มันนิ่งบ้าง แล้วเวลานั่งมันก็จะสงบ มันก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นมา แต่ถ้าควบคุมไม่ได้เลย นั่งมันก็จะไม่สงบ มันก็จะไม่เห็นผล มันก็จะไม่มีกำลังใจที่อยากจะนั่ง
นี่ก็คือเรื่องของการศึกษากับการปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนว่ามันไปควบคู่กันหมด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธนี่ ๓ ตัวนี้มันไปพร้อมกัน ศึกษาเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อรู้แล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติก็จะเกิดปฏิเวธ คือผล คำว่า “ปฏิเวธ” ก็คือผลที่เกิดจากการปฏิบัติ จิตใจก็จะมีความสุขมากขึ้น ความทุกข์น้อยลง จิตใจก็จะเจริญขึ้นสูงขึ้น จากมนุษย์ก็เป็นเทพ จากเทพก็เป็นพรหม จากพรหมก็เป็นพระอริยะเจ้า เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นี่มันจะพัฒนาขึ้นไปตามลำดับ จากการที่เราศึกษาและปฏิบัติไปตามขั้นตามลำดับของการปฏิบัติ เหมือนกับที่เราไปโรงเรียน เราก็ไปเรียนที่ชั้นอนุบาลก่อน แล้วพอจบอนุบาลก็ขึ้นประถม
พอจบประถมก็ขึ้นมัธยม จบมัธยมก็เข้าอุดมศึกษา ไปเรียนปริญญา เดี๋ยวก็ได้ปริญญาตรี แล้วก็ต่อโท แล้วเดี๋ยวก็ต่อเอก อันนี้ก็แบบเดียวกัน การศึกษาทางศาสนาก็แบบเดียวกัน ศึกษาแล้วก็ไปปฏิบัติ การปฏิบัติก็เป็นการทดสอบความรู้ที่เราได้เรียนมา ว่าเรารู้จริงหรือไม่ ถ้ารู้จริงเราก็ปฏิบัติได้ ถ้าเราปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติถูกต้อง เราก็จะได้ผล คือ ได้บรรลุผลจากการปฏิบัติ จิตใจจะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ จากมนุษย์ก็จะไปเป็นเทพ จากเทพก็จะไปเป็นพรหม จากพรหมก็จะไปเป็นพระอริยะเจ้าขั้นต่างๆ การเป็นเทพก็เกิดจากการทำบุญทำทาน การรักษาศีล ๕ นี่แหละ ถ้าเราทำบุญทำทาน รักษาศีล ๕ ได้ จิตของเราก็จะเจริญจากมนุษย์ ร่างกายตอนนี้อาจจะเป็นมนุษย์ แต่จิตใจอาจจะเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ถ้าทำบุญทำทาน รักษาศีล ๕ ได้
ถ้านั่งสมาธิได้ ก็จะไปเป็นพรหม แล้วถ้ามีปัญญา มีวิปัสสนา มีดวงตาเห็นธรรม ก็จะเป็นพระอริยะเจ้า เห็นอะไร เห็นอริยสัจ ๔ เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าทุกข์เกิดจากสมุทัย คือตัณหาความอยาก ทุกข์จะดับก็เกิดจากมรรค คือการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา นี้เอง อันนี้ก็จะทำให้ไปเป็นพระอริยะเจ้า ถ้าเข้าสู่ขั้นพระอริยะเจ้าแล้ว ก็จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ก็จะเกิดน้อยลง พระโสดาบันก็จะเกิดไม่เกิน ๗ ครั้ง พระสกิทาคามีก็ครั้งเดียวในโลกของมนุษย์ ของเทวดา ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ไปเกิดที่พรหมโลก ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป ไปอยู่พระนิพพานแทน
นี่คือผลที่จะเกิดขึ้นจากการที่เราศึกษาพระธรรมคำสอน และปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัด อย่างจริงจัง นี่การปฏิบัตินี้ไม่เป็นของเล่นนะ อย่าไปคิดว่าเป็นของเล่น อย่าไปคิดว่าเป็นงานอดิเรก อันนี้เป็นงานที่จริงจัง เป็นงานที่ต้องเอาเป็นเอาตายกัน ไม่ใช่เอาแบบเล่นๆ ถ้าเอาเล่นๆ มันจะไม่ได้ผล กิเลสมันชอบเล่นๆ มันไม่ชอบเอาเป็นเอาตายกัน นี่ถ้าเราจะเอาแบบเอาผล เราต้องเอาแบบเอาเป็นเอาตาย เอาเป็นเอาตายกับกิเลสนี่ แล้วเราก็ต้องถวายชีวิตด้วย ถึงจะฆ่ากิเลสได้ ถ้ากลัวตายก็สู้กิเลสไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่า "นิพพานอยู่ฟากตายนะ" ถ้าไม่ยอมตายนี่ ไปไม่ถึงนิพพาน
นี่ถ้าจะปฏิบัติจริงๆ แล้ว มันต้องยอมตาย เวลามันเข้าสู่ขั้นปัญญานี่มันต้องยอมตาย แต่ขั้นต้นนี่ยังไม่ต้องยอมก็ได้ ขอยอมเสียเงินก่อนก็แล้วกัน ยอมรักษาศีลก่อนก็แล้วกัน แต่ขั้นปัญญานี่ บางทีต้องยอมตาย มันถึงจะฆ่ากิเลสได้ กิเลสที่กลัวตายนี้มันจะตายได้ก็ต่อเมื่อเรายอมตาย ถ้าเรายอมตายเมื่อไหร่ กิเลสคือความกลัวตายจะหายไป อันนั้นต้องเข้าสู่ขั้นปัญญา แต่ขั้นเบื้องต้นนี้ยังไม่ต้องถึงกับยอมตายหรอก ขอยอมเสียทรัพย์ก่อนก็แล้วกัน อย่าหวงทรัพย์ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เอาไปทำบุญดีกว่า แล้วจะได้ไปนิพพานต่อไปได้ นี่คือสิ่งที่พวกเราเข้าหาวัดกัน มารับของแถมกันก็คือธรรมะ ที่จะพาให้เราได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ให้เราได้ไปสู่ความสุขที่ถาวร ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดตามมาอีกต่อไป
.............................
สนทนาธรรมบนเขาวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๑ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี