คุณลุงแท็กซี่ได้รับเงินบริจาค 8.3 ล้าน ล่าสุดโดนแฉพฤติกรรมว่าเป็นคนลวงโลก
12 พฤษภาคม 2563 กรณีเรื่องราวดราม่าของคุณลุงแท็กซี่ นายสิทธิชัย ใกล้ชิด วัย 72 ปี ส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด 2019 (COVID-19) ที่ต้องเสียค่าเช่ารถวันละ 300 บาท ซึ่งในวันนั้นคุณลุงได้ลองไปรับพัสดุกับขนส่งเคอรี่ และเปิดกระเป๋าสตางค์ให้ดูพบว่ามีเงินติดตัว 200 บาท เรื่องราวของคุณลุงถูกเผยแพร่ไปในโลกโซเชียล ทำให้เกิดสายธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยคุณลุงจำนวนมากทั้งบริจาคเป็นเงิน อาหารแห้งและข้าวสารในเพียงข้ามคืน คุณลุงแท็กซี่ได้เงินบริจาคไปจำนวน 8.3 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้ ลุงสิทธิ์ชัย บอกว่า จะนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ เพราะว่าบ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านเช่าและอยู่คนเดียว และจะนำเงินไปบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาล , ช่วยผู้ป่วยโควิด , ซื้ออุปกรณ์ดับไฟป่าและให้มูลนิธิเพื่อคนขับแท็กซี่ ยังบอก แต่เรื่องราวไม่จบแค่นั้น (ธารน้ำใจแห่ช่วย'ลุงแท็กซี่' ไหว้ขอบคุณทั้งน้ำตายอดบริจาค8.3ล้าน)
ขอบคุณ : 77kaoded
ล่าสุด นายปรีชา อายุ 49 ปี เจ้าของอู่แท็กซี่มังกรเจ้าพระยา เผยถึงพฤติกรรมของลุงสิทธิ์ชัย ว่า สิ่งที่ลุงพูดไม่เป็นความจริง ตรงที่บอกว่าอยู่คนเดียว เพราะจริงๆ แล้วอยู่กับลูกและหลาน ซึ่งลูกชายก็มาเช่ารถแท็กซี่ที่อู่ตนขับอยู่ ทุกคนมีงานทำ แต่ไปหลอกลวงสังคมว่าอยู่คนเดียวไม่มีจะกิน ก็อยากให้สังคมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริง บ้านที่อยู่ก็ไม่ได้เช่าใคร เป็นบ้านของเมียเก่าที่เขาให้ลูกชายอยู่ จ่ายแค่ค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น ซึ่งลูกเขาก็มีงานทำไม่ได้ยากไร้อย่างที่เขาพูด
พฤติกรรมของเขาก็คือถ้าติดหนี้แล้วไปทวงก็ไม่ได้ และเขาไม่มีความรับผิดชอบ อย่างรถเสียเขาก็จะไม่รับผิดชอบเลยบอกว่ามันพังเอง ซึ่งเคยตกลงกันว่าช่วยกันดูแลเพราะรถอยู่กับเขา ค่าเช่าเราก็คิดกะเดียวแบบควงกะวันละ 700 บาท ซึ่งลุงเขาก็เป็นคนใจน้อยสะกิดอะไรไม่ได้
ล่าสุด เขาหนีไปเช่าที่อื่น ทั้งๆ ที่ค้างค่าเช่าตนไว้ประมาณ 1,400 บาท ในส่วนตัวของเขาและค่าค้ำประกันของลูกชายที่ค้างไว้อีก 13,970 บาท รวมแล้ว 2 คนทั้งพ่อและลูก 14,970 บาท พอไปตามที่บ้านก็ไม่เจอ โทรศัพท์ไปก็ไม่ติด ตนจึงได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่โรงพัก สภ.บางปู เอาไว้ คือเราต้องการให้เขากลับมาใช้หนี้ที่ค้างไว้เท่านั้น และอยากจะฝากบอกเขาว่า อย่าไปหลอกลวงสังคมอีก ทุกคนที่เขาลำบากกว่าตัวเขายังมีอีกเยอะ
"ในตอนแรกที่ลุงสิทธิ์ชัย ได้รับเงินบริจาคมาแล้ว ที่ผมไม่ออกไปเรียกร้องตอนนั้น เป็นเพราะว่าผมมองว่า มันไม่ใช่เรื่องของผม รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลุงสิทธิ์แหกตาสังคม การที่ตนออกมาในครั้งนี้เพราะไม่อยากให้คนอื่นถูกหลอกอีก และอยากให้รู้ว่าคนคนนี้ลวงโลก เขาไม่ได้น่าสงสารอย่างที่คนอื่นคิด เราไม่ได้ไปอิจฉาเขาเลย เพราะตนไม่ได้สนใจแต่ตนสนใจหนี้ของตนที่ติดอยู่ทำไมไม่จ่าย ทวงถามก็เงียบ เขาพ่อลูกกันอยู่ด้วยกันยังไงก็ถึงกันเพราะเขาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้หาตัวทั้งพ่อทั้งลูกไม่เจอแล้วโทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ก็อยากจะฝากถึงคนที่จะบริจาค ว่าเวลาที่จะบริจาคอะไรเช็คกันดูให้ดีดี เพราะอย่ากรณีเคสแบบนี้มาร้องไห้ ให้คนสงสารแล้วก็แห่โอนเงินกัน คนที่เขาลำบากจริงก็มี แต่คนที่พูดใส่ไข่แบบว่าให้สงสารก็มีเยอะ ก็อยากให้พิจารณาให้ดีดีหน่อยเพราะเงินทุกวันนี้ก็หายาก" นายปรีชา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี