มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์เพื่อการปกป้องสิทธิผู้ถูกตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือในจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมเรียกร้องให้ผู้เสียหายดำเนินการทั้ง 4 ข้อ
วันที่ 21 พ.ค.63 ตามที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน ในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอชายแดนภาคใต้จำนวนมากได้ร้องเรียนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมว่า ถูกตัดสัญญานโทรศัพท์มือถือตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมาทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจาก กอ.รมน.ภาค 4 และ กสทช. ได้ให้บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กำหนดให้ผู้ใช้โทรศัพท์โดยเฉพาะระบบเติมเงินต้องลงทะเบียนซิมใหม่ด้วยระบบสแกนใบหน้า (ระบบ 2 แชะ) โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนใหม่จะถูกบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์มือถือตัดสัญญาณไม่สามารถใช้โทรศัพท์ต่อไปได้
เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ติดตามปัญหาท้วงติงและคัดค้านมาตรการดังกล่าวตลอดมา ดังปรากฎรายละเอียดตามแถลงการณ์ของมูลนิธิและองค์กรเครือข่าย ฉบับลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 มูลนิธิฯเห็นว่าใช้ช่วงที่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้กำลังเผชิญกับภัยโรคระบาดร้ายแรงโควิด-19 การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในการติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการแพร่ระบาด การเรียนรู้มาตรการเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแจ้งเหตุ ขอคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณะสุขในกรณีที่สงสัยว่าตนหรือบุคคลในครอบครัวอาจแป็นโรค เจ็บป่วย หรือมีความจำเป็นอื่นๆ ในการประกอบอาชีพและชีวิตประจำวัน ซึ่งในปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือนั้นถือเป็นปัจจัยที่ 5 ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุขของประชาชน
จากการตรวจสอบของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม องค์การและหน่วยงานต่างๆเช่น คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม สิทธิมนุษยชนเป็นต้น พบว่าการขอให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะผู้ที่ได้เคยลงทะเบียนไว้แล้ว ต้องไปลงทะเบียนใหม่โดยระบบ 2 แซ๊ะ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสัญญาณนั้น น่าจะเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายหรือความชอบธรรมที่จะกระทำได้ ทั้งมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากมาตราการดังกล่าวใช้เฉพาะกับประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้และสี่อำเภอในจังหวัดสงขลาเท่านั้น อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้นผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกตัดสัญญาณอาจดำเนินการตามต่อไปนี้
(1) ร้องเรียนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ช่วยแก้ไขปัญหาเช่น เจรจากับ กอ.รมน.และ กสทช. หรือผู้นำรัฐบาล
(2) ร้องเรียนหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะ กสทช. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ยุติการตัดสัญญาณ
(3) ร้องเรียนหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและกฎหมาย เช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน
(4) ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลยุติธรรมและศาลปกครองเพื่อสั่งให้ระงับการตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือและพิพากษาให้หน่วยงานที่รับผิดชอบชดใช้เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโทรศัพท์มือถือในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระบบเติมเงินเกือบทุกระบบได้มีการตัดสัญญาณของลูกค้าที่ไม่ยอมลงทะเบียนในระบบ 2 แชะตั้งแต่หลัง 30 เมษายนที่ผ่านมาทำให้ประชาชนดังกล่าวได้รับผลกระทบในการใช้เพื่อสื่อสารในยุคที่ประเทศปิดบ้านปิดเมือง เคอร์ฟิว ที่ประชาชนไม่สามารถติดต่อบุคคลได้นอกจากการติดต่อทางโทรศัพท์
น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า ในจังหวัดใต้สุดแดนมีความเหลื่อมล้ำมาก มีรการตัดสัญญานมือถือ แบบเติมเงิน ไม่เว้นแม้ช่วงโควิด 19 เขายังตัดทุกอย่าง ทั้งที่รู้ว่าชาวบ้านจะต้องใช้ติดต่อสื่อสารก็ไม่สามารถไปมาหาสู่ได้ยิ่งช่วงนี้จะต้องเรียนออนไลน์และในพื้นที่กำลังจะมีเทศกาลรายอก็ไม่สามารถโทรขออภัยกันได้ถือเป็นเรื่องของการซ้ำซ่้อน การละเมิดสิทธิ์ เป็นการที่เลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติโดยเฉพาะ ถือว่ามีความโหดร้ายมาก ทำเกินเหตุ ไม่มีเหตุผลแม้มีการระบาดของโควิดก็ไม่สนใจ
"โดยส่วนใหญ่่่่ระบบเติมเงินจะถูกตัดสัญญาณมากที่สุด และระบบเติมเงินส่วนใหญ่คนที่มีฐานะยากจนคนแก่ที่รอลูกโทรมาหา แต่เมื่อโทรศัพท์เขาถูกตัดสัญญาณเขาก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้แถมในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ระบาดเขาไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้เลยทำให้เกิดความเดือดร้อนมากในพื้นที่ตอนนี้" น.ส.พรเพ็ญ กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า จากการเปิดรับร้องเรียนผู้ที่มีความเดือดร้อน 3 วันมานี้มีชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนเข้ามา 50 คนโดยส่วนใหญ่แบบเติมเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี