“ล็อกดาวน์ (Lockdown)” มาตรการที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อสกัดการระบาดของ “ไวรัสโควิด-19 (COVID-19)” โดยปิดกิจการต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อตัดการระบาดของโรคจากการรวมกลุ่มของผู้คน แม้จะพบว่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคแต่กลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนจำนวนมากโดยเฉพาะ “การว่างงาน” ซึ่งนั่นหมายถึง “การไม่มีรายได้” เลี้ยงตนเองและครอบครัว
เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์ประสานงานเพื่อการวิจัยแรงงานแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกระทรวงแรงงาน (CU-ColLaR) จัดเสวนาทางออนไลน์ เรื่อง “ตลาดแรงงานไทยหลังยุค COVID-19 :การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืน ผลกระทบ และทางออกหลัง COVID-19 : กลุ่มแรงงานผู้สูงอายุ” โดย ศ.ดร.วิพรรณ ประจวบเหมาะ คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลายประเทศรวมถึงไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นแต่วัยเด็กและวัยทำงานลดลง
ซึ่งด้วยความที่ “ผู้สูงอายุหากได้รับเชื้อโควิด-19 จะมีโอกาสป่วยหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ง่าย” เห็นได้จากสถิติผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ “วิกฤติไวรัสโควิด-19 จึงบีบให้รัฐต้องเปลี่ยนนโยบายด้านแรงงานต่อผู้สูงอายุด้วย” จากเดิมที่ส่งเสริมผู้สูงอายุที่ยังมีกำลังให้ออกไปทำงานเพื่อให้พึ่งพาตนเองได้และเป็นพลังของสังคม กลายเป็นอยากให้ผู้สูงอายุอยู่แต่ในบ้านและย้ำให้บุตรหลานที่ยังต้องทำงานนอกบ้านอยู่ห่างๆ ไว้ด้วย
ถึงกระนั้น “ผู้สูงอายุจำนวนมากก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจไม่ต่างจากคนวัยทำงาน” หลายคนยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ไม่มีเงินออม มีแต่หนี้สิน “การไม่ได้ทำงานทำให้ขาดรายได้” และในอนาคตก็ไม่แน่ชัดว่าจะยังมีการส่งเสริมให้จ้างงานผู้สูงอายุ หรือต่อเวลาเกษียณอายุอีกหรือไม่ อนึ่ง “วัยแรงงานตอนปลาย หรือผู้ที่มีอายุ 45-59 ปี ก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน” เพราะหลายคนได้รับผลกระทบถูกให้หยุดงานและอาจไม่ได้กลับเข้าสู่การทำงานอีก
“กลุ่มนี้คือผู้สูงอายุสำรอง ซึ่งจะเป็นผู้สูงอายุในอนาคตอีก 15 ปีข้างหน้า พ้น ณ วันนี้ ถ้าเกิดเขาหลุดออกจากงานไปและไม่มีการพัฒนาทักษะที่จะให้เขาเข้ามาอยู่ในแรงงานใหม่หรือเปลี่ยนอาชีพได้จะกระทบไปในระยะยาวกับสังคมสูงวัยของไทย เพราะว่าเขาจะไม่มีเงินออม ไม่มีงานไปจนอีกยาว ฉะนั้นตรงนี้ก็ต้องคิดถึงผู้สูงอายุรุ่นนี้ และผู้สูงอายุสำรองซึ่งเชื่อว่าจะถูกเอากลับมาทำงานยาก เพราะว่าเวลาวัยปลาย (อายุ 45-59 ปี) ถ้าไม่มีการเร่งพัฒนาทักษะกลุ่มนี้ ก็มีหลายครั้งที่ผู้ประกอบการเขาก็จะเลือกที่จะไม่เอากลุ่มนี้เข้ามา” ศ.ดร.วิพรรณ ระบุ
ขณะที่ ผศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ นักวิชาการประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รายจ่ายของผู้สูงอายุไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 7,800 บาทต่อเดือน ส่วนรายได้นั้นแบ่งได้ดังนี้ อันดับ 1 ร้อยละ 41.2 มาจากการจัดสรรสินทรัพย์ เช่น การนำเงินออมออกมาใช้ หรือได้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มี รองลงมา ร้อยละ 30.5 มาจากการทำงานของผู้สูงอายุเอง อันดับ 3 ร้อยละ 17 ความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น เบี้ยยังชีพ และอันดับ 4 ร้อยละ 11.3 การโอนสุทธิจากครัวเรือน เช่น ลูกทำงานส่งเงินกลับมาให้พ่อแม่
และหากแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุให้ละเอียดขึ้น ก็จะพบความแตกต่างอีก กล่าวคือ “ยิ่งอายุมากขึ้นรายได้จากการทำงานยิ่งลดลง” โดยในวัย 60-64 ปี รายได้หลักของผู้สูงอายุกลุ่มนี้ยังมาจากการทำงานของตนเอง นอกจากนี้บางส่วนยังนำรายได้จากการทำงานไปช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ในครัวเรือนด้วย แต่เมื่ออายุมากขึ้น รายได้จากการทำงานลดลงและหันไปเป็นวัยพึ่งพิงมากขึ้น ทั้งพึ่งพิงสวัสดิการรัฐและสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่นั้นมีแรงผลักดันมาจากความยากจน
“ถ้าจำแนกตามความยากจน หรือลองแบ่งผู้สูงอายุเป็นกลุ่มยากจนและไม่ยากจน โดยดูตามเส้นความยากจนของสภาพัฒน์ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) กลุ่มยากจนระดับการบริโภคเขาต่ำกว่าอยู่แล้ว และการบริโภคขนาดใหญ่ได้รับการเกื้อหนุนจากภาครัฐถ้าเทียบกับกลุ่มที่ไม่ยากจนแต่ที่น่าสนใจคือผู้สูงอายุที่ยากจนกลายเป็นกลุ่มที่ให้การช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นในครัวเรือนมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุที่ไม่ยากจน
ซึ่งอันนี้มันมีความสำคัญเพราะเมื่อเราพูดถึงความยากจนของผู้สูงอายุ มันไม่ใช่ประเด็นเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็นปัจเจก แต่อาจต้องมองในภาพรวมของครัวเรือนผู้สูงอายุเอง เพราะจากข้อมูลนี้มันทำให้เห็นว่าที่เขายากจนส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเกื้อหนุนทั้งครัวเรือน ในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป เราพบว่ากลุ่มที่ทำงานมีโอกาสยากจนน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ทำงาน แต่ถ้าเลือกดูเฉพาะอายุ 60-69 ปีมันน่าสนใจเพราะพบว่ากลุ่มที่ทำงานมีสัดส่วนยากจนมากกว่ากลุ่มที่ไม่ทำงาน” ผศ.ดร.เฉลิมพล ระบุ
ด้าน ชลธิชา อัศวนิรันดร นักวิชาการประจำวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงผลการสำรวจบริษัทขนาดใหญ่ 8 แห่ง เกี่ยวกับการจ้างงานผู้สูงอายุ แบ่งเป็น 1.การรับสมัครใหม่ มักเป็นงาน
ระดับทั่วไป เช่น บริการลูกค้า จัดเรียงสินค้า แคชเชียร์แม่บ้าน คอลเซ็นเตอร์ กับ 2.การจ้างต่อเนื่อง เกษียณแล้วแต่ยังจ้างต่อ จะมีทั้งระดับสูง เช่น ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ หรือพนักงานขายที่ทำยอดขายสูงเป็นพิเศษ และระดับทั่วไป เช่น แม่บ้านหรือฝ่ายบริการลูกค้าที่อยู่กับบริษัทมานาน
ผู้สูงอายุที่ทำงานในบริษัทที่สำรวจดังกล่าว มีเวลาการทำงาน ค่าจ้างและวันหยุดสอดคล้องกับประกาศของกระทรวงแรงงาน “เหตุผลที่ผู้สูงอายุยังทำงานเพราะร่างกายยังไหว จึงอยากพึ่งตนเองไม่อยากเป็นภาระ
ลูกหลาน” ผู้สูงอายุต้องการทำงานยาวนานประมาณ 5 ปี และกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุที่ทำงานในสถานประกอบการที่มีการสำรวจข้างต้น รู้สึกพอใจกับสภาพการทำงานที่เป็นอยู่ แต่ที่เป็นปัญหาอยู่บ้างคือไม่มีสวัสดิการ เนื่องจากเงื่อนไขด้านอายุทำให้นายจ้างไม่สามารถนำลูกจ้างกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบประกันสังคมได้
ทั้งนี้ “วิกฤติโควิด-19 กระทบต่องานของผู้สูงอายุ เนื่องจากจำนวนมากอยู่ในภาคบริการ” เช่น มีการโยกย้ายให้ไปทำงานในแผนกหรือสาขาที่ยังไม่ปิด เปลี่ยนไปทำงานออนไลน์ หรือหนักกว่านั้นคือหยุดการจ้างงานเนื่องจากสถานที่ทำงานถูกปิดซึ่งทำให้ผู้สูงอายุขาดรายได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ก็จะเห็นการเปลี่ยนอาชีพ เช่น ไปขี่มอเตอร์ไซค์ส่งอาหารบ้าง ไปช่วยกิจการของครอบครัวบ้าง เพื่อหารายได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าจะได้กลับสู่ตลาดแรงงานอีกหรือไม่
“รูปแบบการทำงานหลังโควิด รูปแบบตลาดแรงงานจะเปลี่ยนไป โดยอาจจะมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยข้อบังคับจากทางการ ถ้ากลุ่มแรงงานผู้สูงอายุปรับตัวได้ก็ยังชื้นใจว่าท่านยังกลับเข้าทำงานได้ แต่ในกรณีที่ท่านยังปรับตัวไม่ได้ ก็น่าวิตกว่าจะมีการตกงานหรือว่างงานของคนกลุ่มนี้สูงขึ้น” ชลธิชา กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี