“ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอลหรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผูอื่นดื่มโดยตรงหรือโดยออม” เป็นบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 (มาตรา 32) ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมามีข้อถกเถียงอย่างมาก ระหว่าง “ฝ่ายสนับสนุน” ที่มองว่า “น้ำเมาคือบ่อเกิดของความชั่วร้าย” ก่อปัญหานานัปการ จึงไม่ควรได้รับการยอมรับผ่านการโฆษณา
กับ “ฝ่ายคัดค้าน” ที่เห็นว่า “การดื่มเป็นสิทธิส่วนบุคคล” การโฆษณาจึงไม่ควรเป็นความผิด อีกทั้งบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ยังเป็นปัญหาด้วย โดยล่าสุดเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ค. 2563 ที่ผ่านมา เฟซบุ๊คแฟนเพจ“Surathai” ซึ่งเป็นเพจของเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนท้องถิ่น เชิญผู้ประกอบการรวมถึงประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายดังกล่าว
อาทิ ตัวแทนจากร้าน “Bottle rocket craft beer bar” ในกรุงเทพฯ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ที่ร้านมีลักษณะเป็นร้านอาหาร มีคราฟท์เบียร์จำหน่าย และมีดนตรีสด กระทั่งร้านได้ปิดลงช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องเปลี่ยนช่องทางไปจำหน่ายคราฟท์เบียร์ทางอินเตอร์เนตแต่ก็โดนทางการเรียนไปชี้แจงการเผยแพร่ข้อความในการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์
“คิดว่าคงโดนในกรณีที่โพสต์จำหน่ายคราฟท์เบียร์ ก็คือลงโปรโมชั่นลงรูปต่างๆ อาจจะเป็นการลงรูปขวดเบียร์ ลงราคา ช่วงโปรโมชั่นในช่วงโควิดนี้ ยังไม่ได้ไปรับข้อกล่าวหาแต่มีเอกสารเรียกมาแล้ว ก็คือขอเขาเลื่อนไปก่อน ไม่ค่อยว่างเท่าไร ก็เลยเลื่อนๆ ไปก่อนในข้อกล่าวหาเขาบอกภาพรวมเฉยๆ ก็คือเป็นการทำผิดกฎหมายโฆษณา คือลงโฆษณาในสื่อโซเชียล” ตัวแทนจากร้าน Bottle rocket craft beer bar กล่าว
ขณะที่ “อาร์ตี้” บล็อกเกอร์และแอดมินเพจ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “การโพสต์รีวิวเบียร์ในเพจที่ทำอยู่นั้นไม่เคยรับเงินจากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” จึงทำอย่างตรงไปตรงมา กระทั่งโดนทางการเรียกไปชี้แจงเพียงเพราะใช้คำว่า“ดีสมคำร่ำลือ” ซึ่งก็บอกไปตามตรงว่า“ก็ในเมื่อชิมแล้วเห็นว่าดี..จะให้บอกว่าไม่ดีคงเป็นไปไม่ได้” ที่มาของการใช้คำนี้ก็เท้าความไปถึงเสียงร่ำลือกันมาก่อนในหมู่คนที่ดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อนั้นเอง
“เขา (เจ้าหน้าที่ทางการ) ถามว่าผมรู้หรือเปล่าสิ่งที่ผมโพสต์เป็นการชักชวน ผมก็บอกว่าคุณจะไปคิดแทนคนอีกเป็นล้านคนได้อย่างไร ว่าการที่เห็นโพสต์ผมแล้วอยากจะกินมากจนทนไม่ไหวแล้วมันต้องออกไปร้านเบียร์ ณ วันนั้น มันเป็นไปไม่ได้ คุณมาพูดมาคิดแทนคนอื่นได้อย่างไร สิ่งที่เจ้าหน้าที่คิด ผมว่าปัญหาคือวิธีคิด (Mindset) คือวิธีคิดของข้าราชการไทยมันมีปัญหามาก คือเขาไม่คิดว่ามนุษย์คนอื่นคิดเป็น ไม่คิดว่าประชาชนทั่วไปมีสติสัมปชัญญะ มีสมองที่จะประมวลผลได้” อาร์ตี้ ระบุ
เช่นเดียวกับ “ลี” ผู้จำหน่ายคราฟท์เบียร์จากต่างประเทศ เล่าว่า โดนแจ้งข้อกล่าวหาจากการใช้ภาษาไทยคำว่า “สดชื่น” และภาษาอังกฤษคำว่า “Good (ดี)” หรือนำลักษณะของเบียร์บางยี่ห้อมาให้ดู เช่น มีบางยี่ห้อ ระบุว่ามีแคลอรี่ต่ำ “ทั้งหมดที่โพสต์นั้นทำไปตามข้อมูลที่ปรากฏบนฉลากสินค้าไม่ใช่อยู่ดีๆ กล่าวลอยๆ ขึ้นมาเอง” แต่แน่นอนก็ยอมรับว่าทำผิดจริงในแง่กฎหมาย ถึงกระนั้นก็มีคำถามเช่นกัน เพราะบางกรณีก็เห็นรายอื่นทำ ซึ่งในวันที่ไปพบเจ้าหน้าที่และไปสอบถามก็ได้รับคำตอบมา 1.บางกรณีไม่มีคนแจ้ง กับ 2.บางกรณียังสู้คดีกันอยู่
“จริงๆ ฝั่งผมไม่ได้โดนบี้ขนาดนั้นในแง่ว่าผิด-ไม่ผิด คนที่เรียกไปส่วนมากถ้าขายของน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเราต้องทำอะไรในเชิงนี้ แต่ผมก็พูดในมุมว่าในช่วงที่โดนมันเป็นช่วงที่แบบว่ายาก ช่วงที่ธุรกิจมันเริ่มขายของไม่ได้ เขา (เจ้าหน้าที่) ก็บอกว่าเขาเข้าใจแต่ว่ามันมีคนร้องเรียนมา เราก็ว่าใครร้องเรียน แล้วไปๆ มาๆ อ้าว! เพื่อนโดนไป 300-400 คน ผมก็งง ผมว่ามันมีอะไรมากกว่านี้” ลี ระบุ
ด้าน “นิค” ผู้แทนจำหน่ายสุรารายย่อย เล่าว่า มีการใช้คำว่า“ชื่อดัง” รวมถึงเห็นขวด จึงถูกระบุว่าเข้าข่ายบรรยายสรรพคุณและเป็นการเชื้อเชิญ นอกจากนี้ยังมีความผิดกรณีประกาศว่า “ซื้อเหล้าแถมแก้ว” เนื่องจากตามกฎหมายไม่สามารถโฆษณาแบบลดแลกแจกแถมได้ ทั้งนี้ บรรยากาศในการชี้แจงไม่ถึงขั้นสอบสวน และเข้าใจว่าที่เจ้าหน้าที่ทำเพราะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนั้นจึงขอตั้งคำถามกับกฎหมายมากกว่าใน 2 เรื่องคือ 1.กฎหมายมีความเป็นธรรมหรือไม่ กับ 2.กฎหมายตีความได้กว้างขวางเพียงใด
“ผมกลับมองในอีกเชิงหนึ่ง ผมไม่ได้มองเขา (เจ้าหน้าที่) เป็นศัตรูด้วยซ้ำ ผมกลับมองว่าก็ในเมื่อสภาวะแวดล้อมของประเทศเรามันเป็นแบบนี้ สถานการณ์มันคือเราอยู่ในประเทศที่ทำอะไรเรื่องนี้มากไม่ได้เพราะมันไปยืดกับวาทกรรมว่าคนนี้เป็นคนติดเหล้านะ คนนี้ไม่ดีนะ มันผิดศีลธรรม ผมเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง แต่คำถามที่ผมถามต่อมาคือแล้วในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ ผมกลับอยากจะให้คุณให้ความรู้เราด้วยซ้ำ เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ไหนคุณบอกแนวทางหน่อยได้ไหมว่าเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้าง” นิค กล่าว
แอดมินเพจ Surathai ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีเรื่องให้ต้องพิจารณา อาทิ “ฝ่ายรัฐไม่ยอมชี้ให้ชัดเจนว่าอะไรทำได้-ทำไม่ได้” แต่ใช้วิธีปล่อยให้แต่ละคนไปสู้คดีในศาลกันเอง “กฎหมายนี้เอื้อต่อการผูกขาดหรือไม่” เพราะผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ขายสินค้าได้มาก จึงมีเงินจ่ายค่าปรับได้แบบขนหน้าแข้งไม่ร่วง ในขณะที่รายย่อยทุนน้อยไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้
อนึ่ง ถ้อยคำที่ระบุว่า “การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอลทุกประเภทให้กระทำไดเฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรูเชิงสร้างสรรค์สังคม” สร้างความสับสนว่าตกลงแล้วต้องโฆษณาอย่างไร เช่น ผู้ที่ไม่ใช่ผู้ผลิต (อาทิ เป็นผู้นำเข้า ผู้แทนจำหน่าย) จะทำได้หรือไม่ และแม้ในอนาคตจะมีการแก้ไขกฎหมายโดยห้ามใช้โลโก้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปโฆษณาสินค้าอื่นๆ กฎหมายฉบับนี้ก็ยังมีปัญหากับการดำรงชีวิตของประชาชนทั่วไปที่ประกอบอาชีพสุจริตอยู่ดี
“เราจะเสนอเข้าไปในช่องของรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ซึ่งก็เคยพูดถึงไปบ้างแล้ว ว่ากฎหมายที่ไม่เหมาะกับสภาพสังคมในปัจจุบัน หรือเป็นอุปสรรคกับการดำรงชีวิตของประชาชน รัฐบาลหรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายจะต้องพิจารณายกเลิก เราก็จะพิจารณาเสนอไป แต่ก็มีข้อเสนอว่าถ้าเสนอไปแล้วมันก็เป็นช่องให้เขาแก้ให้เข้มข้นขึ้น อันนี้ก็ต้องมาชั่งน้ำหนักกันดู แต่อย่างไรก็ตาม เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ทุกคนก็เห็นว่าต้องหาวิธีการ” อาจารย์เจริญ กล่าว
ส่วนประเด็นที่มีผู้มองว่า “ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการสาธารณสุขที่ถูกที่สุดในโลก..ดังนั้นต้องลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลและเป็นภาระภาษี”อาจารย์เจริญ ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยมีงบประมาณมากแต่มีปัญหาด้านการบริหารจัดการ การเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่าสินค้าอื่นๆ ด้วยเหตุผลด้านผลกระทบทางสังคมนั้นเข้าใจได้ แต่อย่าให้สุดโต่งถึงขั้นตัดทางทำมาหากินและลิดรอนสิทธิของประชาชน เพราะคนที่ดื่มแล้วก่อเรื่องก่อราวเป็นคนส่วนน้อย และพฤติกรรมเหล่านั้นมีข้อกฎหมายเอาผิดอยู่แล้ว
“ดื่มอย่างรับผิดชอบ (Drink Responsibility) ทำไมประเทศอื่นทำได้ ประเทศที่เขาใช้กฎหมายได้สำเร็จ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนกินเหล้าแย่กว่าคนไทยอีก คนทำงานใส่สูทเมืองไทยไม่ได้ไปร้านเหล้าทุกวัน หนุ่มๆของไทยอย่างมากก็ไปอาทิตย์ละ 3 วัน คนญี่ปุ่นไปทุกวัน แล้วก็กินจนเมานอนอยู่ตรงสถานีรถไฟ แล้วเช้าก็ไปทำงานอีก เขากินสุดๆ แล้วก็ทำงานหนักสุดๆ แล้วเขาก็ไม่ไปใช้รถยนต์ คือเขารับผิดชอบ คือถ้าคุณสามารถทำให้กฎหมายบ้านเราศักดิ์สิทธิ์ได้ คุณก็ไม่ต้องไปออกกฎหมายเพิ่ม” อาจารย์เจริญ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี