“ที่ไหนมันก็เป็นกันทั้งโลก” เป็นคำพูดของบรรดา “ทีมลุง” หรือผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่รัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติในปี 2557 จนถึงรัฐบาลเลือกตั้งโดยรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐในปี 2562 ถึงปัจจุบัน ใช้ตอบโต้บรรดา “ทีมไล่ลุง” หรือฝ่ายที่ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหยิบยกหัวข้อ “ความล้มเหลวด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19”มาโจมตี
ถึงกระนั้น ก็มีข้อมูลที่ระบุว่า “เศรษฐกิจไทยมีปัญหามาก่อนวิกฤติโรคระบาดแล้ว” อาทิ ในงานเสวนาเรื่อง “ความท้าทายของสังคมหลังโควิด-19 กับความมั่นคงของมนุษย์” โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.ธร ปิติดล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยกตัวอย่าง 1.การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง เริ่มเห็นตั้งแต่ปี2557 เป็นต้นมา และต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)
2.ผู้คนยากจนลง-สังคมเหลื่อมล้ำสูงขึ้น ในช่วงปี 2558-2561 รายงานของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่าอัตราความยากจนของไทยสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษ นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 (วิกฤติต้มยำกุ้ง) และเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีอัตราความยากจนสูงขึ้น ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนารายได้สูง โอกาสที่จะเกิดสภาพแบบนี้เป็นไปได้ยากมาก นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของนักวิชาการใน ม.ธรรมศาสตร์ พบว่า ช่วงปี 2558-2560 สังคมไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นด้วย
“ความยากจนที่เกิดขึ้นมันขับเคลื่อนจากอะไร ความยากจนที่เห็นในประเทศเรามันเพิ่มขึ้นมา แน่นอนอันแรกสุดภาคการเกษตรเรามีปัญหาเยอะมาก รายได้ที่ลดลงจากภาคเกษตรมันกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนตกอยู่ในฐานะความยากจนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้รายได้จากกิจการขนาดเล็ก พูดง่ายๆ คนที่ค้าขายขนาดเล็ก อยู่ในภาคบริการรายย่อย กลุ่มนี้รายได้ก็ลดลง สุดท้ายค่าจ้างก็ไม่โต” อาจารย์ธร ระบุ
อาจารย์ธรกล่าวต่อไปว่า แม้จะมีปัจจัยภายนอก เช่น ราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง แต่ตัวแปรสำคัญของปรากฏการณ์ข้างต้นมาจาก “การแบ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คนส่วนน้อยในระดับบน (Top1%) ได้ประโยชน์มากเป็นพิเศษ ในขณะที่ประชากรส่วนที่เหลือลงมาได้เพียงเล็กน้อย โดยปรากฏการณ์นี้เห็นภาพชัดในช่วง 5 ปีล่าสุด” ซึ่งหากมองไปยังมิติทางการเมืองก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทางเดียวกัน เช่น รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่โครงสร้างทางการเมืองภายใต้การควบคุม
เมื่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้น ผลกระทบเกิดขึ้นในทันทีกับการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งทั้ง 2 ส่วนเป็นรายได้หลักของเศรษฐกิจไทย และขยายต่อมาถึงการบริโภคภายในประเทศ เช่น ในช่วงที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ และแม้ปัจจุบันผ่านคลายมาตรการจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่หากเงินในกระเป๋าของแต่ละคนมีน้อย การใช้จ่ายเพื่อบริโภคย่อมซบเซาไปอีกยาว เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนก็จะลดลงด้วย
“ภาคเกษตรอยู่ในช่วงที่เลวร้ายมาสักระยะหนึ่งแล้วอย่างน้อย 3-4 ปี ภาคอุตสาหกรรม ส่งออกปีที่แล้ว (2562) ก็แย่ ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมันพยุงตัวได้เพราะภาคบริการ ทีนี้ข่าวร้ายคือโควิดมันกระเทือนบริจาคมากที่สุด คือมันเหมือนเคยมีอันที่ช่วยได้อยู่อันเดียวแต่กลับช่วยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว อันนี้ก็เลยดูเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมาก” อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้นี้ กล่าว
อาจารย์ธรยังกล่าวอีกว่า กลุ่มคนที่รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย 1.แรงงานนอกระบบ (ไม่เข้าระบบประกันสังคมมาตรา 33) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในภาคบริการ กลุ่มนี้ไม่มีสวัสดิการใดๆ และการเลิกจ้างทำได้ง่าย 2.ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น ร้านค้าเล็กๆ ริมถนน จำนวนมากไม่มีทุนสำรองไว้รับมือผลกระทบยามวิกฤติ นอกจากนี้ ในช่วงเดียวกันภาคเกษตรยังได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง
เมื่อดูสัดส่วนแรงงานไทย พบว่า “1 ใน 3 ของแรงงานไทยอยู่ในภาคเกษตร และครึ่งหนึ่งของแรงงานไทยเป็นแรงงานนอกระบบ” ซึ่งแรงงานภาคเกษตรมีฐานะยากจนกว่าแรงงานนอกภาคเกษตร เช่นเดียวกับที่แรงงานนอกระบบมีฐานะยากจนมากกว่าแรงงานในระบบ “วิกฤติเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 เกิดกับคนข้างล่างก่อนลามไปข้างบน” เห็นได้จากสถาบันการเงินยังไม่มีปัญหามากนัก คนกลุ่มบนๆ ที่มีความมั่งคั่งยังมีทางออกได้มากกว่า
ทั้งนี้ “การที่คนคนหนึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจจนต้องร่วงหล่นสู่หุบเหวแห่งความยากจน ย่อมเป็นเรื่องยากในการที่จะปีนกลับมาขึ้นมาอยู่ในจุดที่สามารถตั้งตัวได้อีกครั้ง” และต้องไม่ลืมว่า “ผลกระทบไม่จำกัดเพียง 1 ชีวิต เพราะทุกชีวิตมีครอบครัวต้องดูแล” ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าปัญหาความยากจนของประเทศไทยคงเพิ่มสูงขึ้น และคาดเดาได้ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำย่อมรุนแรงขึ้นด้วย
“เศรษฐกิจและสังคมไทยยุคหลังโควิด เรายิ่งเห็นการกระจุกตัวของความมั่งคั่ง คนยากจนเพิ่มขึ้น คนข้างบนได้รับผลกระทบน้อยกว่า ความมั่งคั่งซึ่งก็เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำเพิ่มแน่นอน อีกอันที่เราจะต้องมองไปสักระยะหนึ่ง โดยเฉพาะภาครัฐภายใต้สถานการณ์ที่ต้องควบคุมโรคหรือเราอาจจะพูดได้ว่าสถานการณ์ฉุกเฉิน ฝั่งรัฐบาลเองเรียกว่าจะมีการรวบอำนาจสูงขึ้น การกระจุกตัวเกิดขึ้นทั้งด้านความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง อันนี้ไม่ใช่เทรนด์ (Trend-กระแส) ใหม่ เป็นเทรนด์เดิมแต่เกิดหนักขึ้น
การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ต้องมองในภาพใหญ่กว่านั้น มันจะถูกเร่งด้วยอีกเทรนด์ก็คือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โควิดเห็นได้ชัดเจน เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอัตราเร่ง เราเห็นการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนคน แต่ก่อนเราสอนต่อหน้าตอนนี้ก็สอนออนไลน์ก่อนหน้านี้ต้องมีจำนวนคนช่วยดูแลสถานที่ดูแลเครื่องมือ ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าพอสอนออนไลน์ส่วนนี้ก็ไม่ได้ใช้” อาจารย์ธร กล่าว
อาจารย์ธรสรุปทิ้งท้ายไว้ที่ประเด็น “ความเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงของมนุษย์” กล่าวคือ ในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ผู้ที่คุมเทคโนโลยีคือเจ้าของเทคโนโลยีนั้น แต่คนกลุ่มนี้มีเพียงจำนวนน้อย ในขณะที่คนจำนวนมากเป็นแรงงานหรือใช้เทคโนโลยีในการดำเนินชีวิตอาจอยู่ด้วยความเสี่ยง เช่น จากข่าวผู้ขี่มอเตอร์ไซค์รับ-ส่งสินค้าที่รับงานผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เบื้องต้นอาจมองในแง่การขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย แต่หากมองให้ลึกลงไป คนเหล่านี้ถูกกดดันให้ต้องเร่งทำเวลาหากต้องการมีรายได้เพียงพอเลี้ยงชีพ
หรือก็คือ “สังคมใดที่ความมั่งคั่งและอำนาจกระจุกตัว..สังคมนั้นคนจำนวนมากย่อมยากจะแสวงหาความมั่นคงได้”ดังนั้นสังคมหลังโควิด-19 ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างอาจมีความมั่นคงในชีวิตน้อยลง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี