วันเสาร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
เปิดตำนานความเชื่อ!'ปู่โสมเฝ้าทรัพย์' หลังป้าวัย 60 ชาวอ่างทองได้งาช้างดำ

เปิดตำนานความเชื่อ!'ปู่โสมเฝ้าทรัพย์' หลังป้าวัย 60 ชาวอ่างทองได้งาช้างดำ

วันเสาร์ ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563, 17.33 น.
Tag : หลังป้าวัย60 ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ความเชื่อ เปิดตำนาน ชาวอ่างทอง ได้งาช้างดำ
  •  

จากกรณีหญิงวัย 60 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ฝันว่ามีมนุษย์แต่งกายโบราณมาบอกแหล่งที่ซ่อนสมบัติ เมื่อตื่นเช้ามาและเดินไปตามทางที่ฝันก็พบตะกรุดงาช้างดำเป็นเงางาม พร้อมก้อนหินมีแสงแวววาว ซึ่งตามความเชื่อของคนไทย "มนุษย์แต่งกายโบราณ" ท่านนั้นคือ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ที่เฝ้าสมบัติรอวันคืนเจ้าของ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : มนุษย์โบราณเข้าฝันบอกที่เก็บกรุสมบัติหญิงวัย 60 ไปตรวจดูพบตะกรุดงาช้างดำ) 

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" สืบต่อกันมาซึ่งถูกบันทึกไว้ใน wikipedia ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเก่า ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายกับชาวต่างชาติ อาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย 


จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย แต่ทางคณบดีหรือคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายนั้นมีวิธีป้องกันทรัพย์สมบัติของตนเองมิให้ผู้อื่นมาขโมยไปได้โดยการนำทรัพย์สมบัติไปฝังดินหรือเก็บซ่อนไว้บนเรือน จากนั้นก็สั่งให้จัดการบริวารหรือทหารของตนเองให้เป็นผีตายโหงอยู่กับสมบัติที่ถูกฝังเพื่อหวังจะให้วิญญาณเหล่านั้นเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" คอยเฝ้าสมบัติของตนเองตลอดไป

 

 

ต่อมาปี พ.ศ. 2500–01 เรื่องราวของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ก็โด่งดังไปทั่ว จนกลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เมื่อโจรลักลอบขุดสมบัติกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปขุดค้นภายในวัดราชบูรณะ เมื่อนำสมบัติออกมาท้องฟ้าก็เกิดวิปริตแปรปรวน จากนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับ "พระแสงขรรค์ชัยศรี" หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ได้เกิดส่องแสงแวววับขึ้นมา ต่อมาหนึ่งในผู้ลักลอบก็เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสภาพเมามาย พร้อมกับยอมรับว่าเป็นผู้ที่ลับลอบเข้าไปขุดค้นเองและได้คืนของที่ขโมยเอาไปแก่เจ้าหน้าที่ แต่ผู้ที่ร่วมขบวนการต่างก็มีอันเป็นไป หรือเสียสติไปรำดาบอยู่กลางตลาด ขณะเดียวกันร้านที่รับซื้อไว้ก็ต้องล้มเลิกกิจการไป

ต่อมาปี พ.ศ. 2503  พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ "พระองค์พีระ" นักแข่งรถสูตรหนึ่งชาวไทยที่มีชื่อเสียงในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ได้รับ "สมุดข่อยโบราณ" จากพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งเขียนอักษรไทยโบราณด้วยสีแต่ตัวอักษรได้ซีดจาง โดยลายแทงบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง พระองค์จึงทำเรื่องขออนุญาตต่อกรมศิลปากรเพื่อทำการขุดหาสมบัติ โดยมีข้อตกลงว่า หากเจอสมบัติโบราณจริงๆ พระองค์จะมอบให้แก่รัฐ 90% ส่วนอีก 10% จะเป็นของพระองค์ เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอ พระองค์จึงทำการขุดหาทันที

"พระองค์พีระ" ได้ชวนพระสหายจากต่างประเทศให้มาร่วมทำการขุดในครั้งนี้ โดยใช้เครื่อง "ไมน์ ดีเทคเตอร์" เป็นเครื่องมือที่ใช้สำรวจหาวัตถุธาตุต่างๆ ที่อยู่ใต้ดิน แต่ต้องประหลาดใจที่เมื่อขุดลงไปตรงจุดตามที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบทรัพย์สินมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว พบเพียงกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเสียเวลาไปมากกับการโกยเอากระเบื้องเหล่านั้นขึ้นมา 

 

 

ซึ่งการขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาวในครั้งนั้นนอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯ และพระสหายยังพบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ทั้งที่ท้องฟ้ายังสว่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันแต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ แต่ไร้หัว  

แต่เหตุการณ์ก็น่ากลัวขึ้น เมื่อพระองค์ฯ กลับวังก็ยังได้ยินเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา ต่อมาพระองค์ฯ ได้นำเรื่องไปเล่าให้แก่พระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีอภิญญาฟังท่านบอกว่า ผีหัวขาดที่พระองค์เห็นนั้นเป็นทหารของพระเจ้าอู่ทอง ชื่อ "ผาด" และได้สาปแช่งแก่ผู้ที่มาขุดค้น ด้วยความโกรธแค้นจึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน

ต่อมาคำสาปแช่งก็เป็นจริง เมื่อพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดกับท่านได้เสียชีวิตกะทันหัน ส่วนสหายอีกคนก็หายสาบสูญไป โดยไม่ทราบชะตากรรม และพระองค์ฯเองที่ทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน จากเหตุการณ์ดังกล่าวพระองค์จึงหันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ ทำให้เรื่องราวการขุดสมบัติบริเวณวัดกุฏีดาว จึงต้องล้มเลิกและจวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปขุดหาสมบัติที่วัดนี้อีก เพราะเกรงว่าวิญญาณจะยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ และตามมาหลอกหลอนสาปแช่ง

 

ขอบคุณภาพจาก (อยุธยา-Ayutthaya Station)

 

อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของนักวิชาการ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เชื่อว่า ความเชื่อเรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์นั้น ไม่น่าจะมีอยู่จริงในความเชื่อของชาวอยุธยาร่วมสมัย เนื่องจากอ้างอิงจากหลักฐานรายชื่อผีที่ปรากฏในพระไอยการเบ็ดเสร็จ ไม่พบว่า มีบันทึกถึงปู่โสมเฝ้าทรัพย์ หรือผีเฝ้าสมบัติ แต่อย่างใด รวมถึงความเชื่อนี้ก็ขัดต่อความเชื่อในคติของพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ที่ชาวอยุธยาเชื่อถืออีกด้วย เนื่องจากนิกายเถรวาทไม่เชื่อในเรื่องของอันตรภพ เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดยังภพภูมิตามยถากรรม จึงสันนิษฐานว่า ความเชื่อนี้คงมาจากประเทศอินเดีย หรือเกิดจากการสร้างเป็นละครโทรทัศน์จนผู้คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง

เรื่องราวของปู่โสมเฝ้าทรัพย์นั้นอ้างถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยหลายประการ สร้างเป็นภาพยนตร์ตลอดจนละครโทรทัศน์หลายครั้ง เช่น ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2550 นำแสดงโดย สันติ วีระบุญชัย, สุวนันท์ คงยิ่ง และภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล หรือดัดแปลงเป็นนวนิยายโดยทมยันตี และสร้างเป็นละครโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในช่วงกลางปี พ.ศ. 2559 เรื่อง พิษสวาท ทางช่องวัน เป็นต้น

ขอบคุณภาพจาก (อยุธยา-Ayutthaya Station)

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • พบถ้ำในวัดโบราณยุคเดียวกับพระธาตุพนมเป็นโพรงใต้ต้นโพธิ์ใหญ่เชื่อเป็นถ้ำพญานาค พบถ้ำในวัดโบราณยุคเดียวกับพระธาตุพนมเป็นโพรงใต้ต้นโพธิ์ใหญ่เชื่อเป็นถ้ำพญานาค
  • หลอนจนขนลุก! รถตู้มีคนตายของกลางเก็บไว้ในโรงพักเปิดไฟเองกลางดึก หลอนจนขนลุก! รถตู้มีคนตายของกลางเก็บไว้ในโรงพักเปิดไฟเองกลางดึก
  • หนุ่มบุรีรัมย์ยันไม่ได้เมา ไม่ได้หลอน เห็น\'กระสือ\'กับตาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน หนุ่มบุรีรัมย์ยันไม่ได้เมา ไม่ได้หลอน เห็น'กระสือ'กับตาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน
  • คนหาปลาผงะ! หญิงสาวผมยาวตัวดำเข้าฝันพาไปเจอคล้ายหลุมศพมีเครื่องเซ่นไหว้ คนหาปลาผงะ! หญิงสาวผมยาวตัวดำเข้าฝันพาไปเจอคล้ายหลุมศพมีเครื่องเซ่นไหว้
  • ชาวบ้านแก้บน\'พิกุลทองยักษ์\'อายุ 100 ปีหลังถูกหวย เผยงวดนี้เจอจังๆอีก ชาวบ้านแก้บน'พิกุลทองยักษ์'อายุ 100 ปีหลังถูกหวย เผยงวดนี้เจอจังๆอีก
  • มีวัดเดียวในอ่างทอง\'เมรุแฝด\'เผยช่วงแรกชาวบ้านหวั่นอาถรรพ์ตายคู่ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติ มีวัดเดียวในอ่างทอง'เมรุแฝด'เผยช่วงแรกชาวบ้านหวั่นอาถรรพ์ตายคู่ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติ
  •  

Breaking News

'ภคมน ลิซ่า' สอน 'ณัฐวุฒิ' เก็บอาการหน่อย! บอกควรยืนข้างนายกฯ ไม่ใช่พ่อของนายกฯ

ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่! 'พานาโซนิค'เตรียมเลย์ออฟพนักงาน10,000ตำแหน่งทั่วโลก

เพื่อไทย ส่ง 'อนุสรณ์' ลุยช่วย 'อัศนี' เบอร์ 3 นายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่

วิชัยเวชฯ จับมือโรงเรียนบ้านด่านโง ร่วมใจปลูกป่า เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved