กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สำหรับกรณีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตรวจพบการทุจริตการเบิกจ่ายเงินค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของคลินิกเอกชน ซึ่งตรวจพบ 2 ลอต โดยลอตแรกจำนวน 20 แห่ง ประกอบไปด้วย คลินิก 18 แห่ง และ คลินิกทันตกรรม 2 แห่ง มูลค่าเสียหาย 74 ล้านบาท แต่เรียกคืนกลับมาได้ประมาณ 60 ล้านบาท ลอตที่ 2 มี 66 แห่ง ประกอบไปด้วย คลินิก 63 แห่ง และ คลินิกทันตกรรม 3 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 34 ล้านบาท โดยทั้ง 2 ลอต มีความเสียหายที่เกิดขึ้นรวมกัน 108 ล้านบาท
โดยเรื่องนี้ สปสช.ได้เรียกเงินคืน และดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย พร้อมทั้งเดินหน้าระดมเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบคลินิกเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับสปสช.ทั้งหมด ทั้งคลินิกเวชกรรมและคลินิกทันตกรรม นับตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม -14 สิงหาคม 2563 โดยตั้งเป้าว่าจะต้องสรุปผลการตรวจสอบให้ได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
สำหรับการตรวจสอบที่ผ่านมานั้น พบว่า มีการปลอมแปลงแก้ไขข้อมูลจำนวนมาก เพื่อให้เข้าเกณฑ์การตรวจคัดกรองและเบิกจ่ายค่าบริการ โดยคลินิกได้สมรู้ร่วมคิดกับห้องแล็บในการทำความผิดด้วยกัน ซึ่งพบว่าเป็นใบแล็บผีผลแล็บปลอม ไม่พบประชาชนเข้าใช้บริการ หรือเข้าใช้บริการแต่มีการแก้ไขข้อมูล
“ถือเป็นการทำลายระบบสุขภาพ ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบสุขภาพ ทำลายวิชาชีพ และเป็นการทำลายอนาคตสุขภาพของคนเกือบๆ 2 แสนคน ที่ถูกอ้างชื่อ ที่สำคัญคนเหล่านี้สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการที่จำเป็น เพราะเมื่อถูกอ้างชื่อไปแล้ว แต่หากต่อมาคนเหล่านั้นป่วย เป็นเบาหวาน ความดันแล้วไปรักษา ระบบจะขึ้นว่ามีการรักษาไปแล้ว เสียโอกาสทันที จึงจะต้องเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้” นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเป็นเท็จ สปสช. กล่าว
ขณะที่ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. ระบุว่า เนื่องจากเงินในกองทุนหลักประกันสุขภาพเป็นเงินจากภาษีประชาชน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข จึงมีนโยบายอย่างชัดเจนว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้และต้องดำเนินการให้ถึงที่สุดดังนั้น สปสช.จึงได้ทำการตรวจสอบครั้งใหญ่ โดยระดมผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบโดยตรงกว่า 300 คน มาทำงานนี้ มีการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อพิจารณาว่าแบบไหนคือการทุจริต แบบไหนเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค แล้วจะตรวจสอบตามเงื่อนไขเหล่านี้ หากตรวจแล้วพบว่ามีปัญหาในการบันทึกข้อมูลการเบิกจ่ายก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการมาชี้แจง ส่วนกลุ่มไหนที่ไม่ชัดเจนก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ถ้าชัดเจนว่ามีการทุจริตก็จะอายัดเอกสาร รวบรวมข้อมูลเพื่อส่งฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่งเหมือนคลินิกเอกชนที่ส่งฟ้องไปแล้ว
ทางด้าน นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า โดยปกติ สปสช.มีมาตรฐานการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการแก่หน่วยบริการหลายขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนจ่ายเงินจะมีโปรแกรมในการตรวจสอบเงื่อนไข เช่น กลุ่มผู้รับบริการที่ขอเบิกจ่ายเข้ามาเป็นกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ อายุ เพศ น้ำหนัก เข้าเกณฑ์หรือไม่ จากนั้นจะเข้ากระบวนการให้คนตรวจสอบอีกที บางกรณีถ้าเป็นบริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง ระบบก็จะเตือนขึ้นมาให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูรายละเอียดการเบิกจ่ายว่าสอดคล้องกับหลักเกณฑ์หรือไม่ถ้าสอดคล้องก็จ่าย ถ้าไม่สอดคล้องก็จะโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากโรงพยาบาล และเมื่อมีการตรวจสอบแล้วก็จะส่งข้อมูลไปให้กับกลุ่มงานการเงินเพื่อโอนเงิน กลุ่มงานการเงินก็จะตรวจสอบอีกรอบหนึ่งและเมื่อจ่ายเงินไปแล้ว ยังมีการสุ่มตรวจทุกปีประมาณ 5% และอีกส่วนจะคัดเลือกหน่วยบริการขึ้นมาตรวจ โดยมีเงื่อนไขในการคัดเลือกประมาณ 80 ข้อ
รองเลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า สปสช.ได้ทำการเลือกตรวจหน่วยบริการที่ส่งเบิกเงินจำนวนมากๆ 45 หน่วยงาน และพบว่ามี 18 คลินิกที่ข้อมูลการตรวจคัดกรองสุขภาพที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น บอกว่าผู้ป่วยมารับบริการแต่โทรศัพท์ไปถามแล้วผู้ป่วยบอกว่าไม่ได้มารับบริการ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานแล้วไม่มีให้ บางรายรายเซ็นเอกสารแทนผู้ป่วย หรือมีการแก้ไขเวชระเบียนให้ส่วนสูงลดลงหรือน้ำหนักเพิ่มมากๆ เพื่อปั้นข้อมูลทำให้ดัชนีมวลกายมากขึ้น ซึ่งในการตรวจคัดกรองเบาหวาน ความดัน จะมีค่าคัดกรองประมาณ 100 บาท ถ้าคัดกรองแล้วดัชนีมวลกายสูงก็จะให้ตรวจเลือดต่อเพื่อดูไขมันในเส้นเลือด คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ การตรวจเลือดก็จะได้อีก 300 บาท หากให้บริการเยอะก็เป็นเงินจำนวนมาก โดยขณะนี้ได้ยกเลิกสถานะการเป็นหน่วยบริการคู่สัญญากับ สปสช.แล้ว และฟ้องอาญาไปแล้วกับทางกองปราบปราม โดยมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เข้าร่วมตรวจสอบด้วย รวมทั้งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก็จะดำเนินการเอาผิดและยกเลิกสถานะการเป็นหน่วยบริการของคลินิกเหล่านี้
นพ.การุณย์ คุณติรานนท์
“คลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพฯ มีประมาณ 180 แห่ง ส่วนคลินิกทันตกรรมในกรุงเทพฯ มีประมาณ 100 แห่ง ตอนนี้เราอยู่ในกระบวนการตรวจสอบทั้งระบบ เป็นนโยบายของท่านรองนายกรัฐมนตรี ที่ให้เราตรวจสอบทั้งหมดเลย โดยจะขยายการตรวจคลินิกเอกชนในกรุงเทพฯ ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ยังจะตรวจสอบในพื้นที่อื่นๆ ที่มีคลินิกชุมชนอบอุ่นให้บริการ คือ เขต 4 เขต 5 และเขต 6 เราจะปูพรมตรวจทั้งหมดเลย รวมทั้งทำต่อเนื่องไปในเรื่องอื่นๆ
ทั้งการเบิกจ่ายแบบจ่ายตามรายการทั้ง 18 รายการย้อนหลังไปถึงปี 2553 โดยระดมเจ้าหน้าที่ประมาณ 300 คน มาช่วยกันตรวจสอบ และยังมีเจ้าหน้าที่ สปสช.ช่วยสนับสนุนอีกรวมทั้งหมดแล้วใช้คนประมาณ 400-500 คน” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
สำหรับการป้องกันการทุจริตในอนาคตนั้น สปสช.ได้วางระบบการยืนยันตัวตนผู้ป่วยแบบออนไลน์ก่อนรับบริการ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ประชาชนบางท่านอาจจะไม่มีความรู้ทางด้านดิจิทัล ก็จะมีให้เซ็นลายมือชื่อก่อน จนเมื่อเริ่มคุ้นชินแล้วก็จะใช้เป็นระบบยืนยันตัวตนทางดิจิทัลทั้งหมด นอกจากนี้ จะมีระบบ AIที่ตั้งเงื่อนไขต่างๆ โดยดูศักยภาพของโรงพยาบาลหรือคลินิกว่าสามารถให้บริการได้วันละเท่าไหร่ มีผู้เชี่ยวชาญด้านไหน หากมีหน่วยบริการที่ให้บริการเกินศักยภาพที่ตัวเองมีก็จะต้องมีการตรวจสอบ นอกจากนี้ ในรายการที่มีค่าใช้จ่ายสูงก็จะต้องขออนุมัติก่อนที่จะให้บริการ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบเอกสารก่อนเบิกจ่ายเงิน ทั้งหมดนี้คือระบบที่ สปสช.นำเข้ามาเสริมความเข้มแข็งให้กับระบบการใช้เงิน
พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ ประธานกลุ่มภารกิจบริหารกองทุน สปสช.กล่าวถึงแนวทางการตรวจสอบคลินิกเอกชนในกทม.ทั้งระบบว่า กระบวนการตรวจสอบเป็นการตรวจดูเอกสาร โดยปกติแล้วหน่วยบริการจะส่งข้อมูลมาเบิกเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครั้งนี้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารที่บันทึกไว้ว่าได้ดูแลผู้ป่วยว่าครบถ้วนตามที่เบิกเงินมาจริงหรือไม่ ส่วนรูปแบบการเบิกจ่ายที่ผิดปกติที่ผ่านมา พบว่าข้อมูลหลายๆ อย่างไม่ครบถ้วน เช่น ชื่อผู้รับบริการไม่ตรงกับชื่อที่ส่งมาเบิก ในส่วนของการตรวจคัดกรองภาวะความดันโลหิตสูงและเบาหวาน พบว่ามีการขีดฆ่าเอกสารเพื่อเปลี่ยนแปลงน้ำหนักและส่วนสูงให้ดูอ้วน แล้วเบิกเงิน บางคนถึงขนาดแก้ไขให้ส่วนสูงลดลง 5-10 ซม. นอกจากนี้ยังมีกรณีเว้นว่างไม่ลงลายมือชื่อผู้ตรวจคัดกรอง มีกรณีผลเแล็บออกก่อนจะมีการตรวจคัดกรองเสียอีก
นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า การบูรณาการของหน่วยงานต่างๆ ในการตรวจสอบการทุจริตครั้งนี้จะเป็นการดำเนินการในส่วนของทางคดีอาญา ยังไม่นับความเสียหายทางแพ่ง และความผิดทางวิชาชีพที่กำลังดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเอกสารหลักฐานและบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก แต่ละหน่วยงาน รวมถึงดีเอสไอ จึงได้มาแบ่งหน้าที่ทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด ดีเอสไอมาเพื่อเร่งรัดการดำเนินการในทางคดีอาญา และพิจารณาว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ต้องมีอะไรเพิ่มเติม ทั้งหมดเพื่อดำเนินการออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินความผิด ยืนยันว่าเรื่องนี้เนื่องจากเป็นการกระทำผิด เป็นการฉ้อโกงซ้ำๆ หลายครั้ง จึงจะมีเรื่องของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การฟอกเงิน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว
สำหรับประชาชนที่กังวลว่าจะถูกสวมสิทธิ์ สามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่สายด่วน 1330 และในอีกไม่นานนี้ สปสช.จะเปิดเว็บไซต์เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบอีกช่องทางหนึ่งด้วย
สุดท้ายก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าผู้ที่ทำการทุจริตในครั้งนี้ได้รับผลของการกระทำผิดอย่างไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี