ในการเที่ยมชม ศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวประวัติศาสตร์และโบราณสถานต่างๆ อีกวัดหนึ่งที่ต้องแวะ ก็คือ “วัดเชิงท่า” เนื่องจากส่วนตัวนั้น มีความเคารพและศรัทธาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงเสมือนเป็นการตามรอยพระองค์ท่าน ที่มีกล่าวไว้ในเรื่องราวของพระองค์
สำหรับวัดเชิงท่า หรือ วัดตีนท่า หรือ วัดคลัง หรือ วัดโกษาวาสน์ หรือ วัดติณ โดยมีเรื่องราวกล่าวว่า เป็นสถานที่ที่รวบรวมหญ้า สำหรับส่งข้ามไปเลี้ยงม้าช้างในวัง และคำว่า ติณ แปลตรงตัวว่า “หญ้า” ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือถ้าจะให้สังเกตง่ายๆ คือ ผ่านหน้าวัดหน้าพระเมรุ ไปประมาณ 500 เมตร วัดเชิงท่าจะอยู่ด้านซ้าย เป็นวัดเก่า สร้างขึ้นในรัชสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง
ขณะที่ ศาลาการเปรียญนี้ เคยเป็นฉากในละครหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบุพเพสันนิวาส ศรีอโยธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามตำนาน เล่าสืบกันมาว่า มีเศรษฐีสร้างเรือนหอให้บุตรสาวซึ่งหนีตามชายคนรักไปแล้วไม่ย้อนกลับ จึงถวายเรือนหอแก่วัดที่สร้างขึ้น ชื่อว่า “วัดคอยท่า” ซึ่งปรากฎในนิราศทวารวดีของหลวงจักรปราณีแต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เมื่อพระยาโกษาปานราชทูตไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กลับมาจากฝรั่งเศสแล้วได้มาปฏิสังขรณ์วัดนี้และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโกษาวาส รวมทั้งเป็นสถานศึกษาของนายสิน หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาภาษาไทย ขอมและพระไตรปิฎกที่วัดนี้
บริเวณวัดยังมีโบราณสถานสำคัญประจำวัด ได้แก่ ปรางค์ห้ายอดสมัยอยุธยา ซึ่งมีลักษณะพิเศษหาที่อื่นไม่ได้ โดยก่อฐานพระปรางค์เป็นทรงแท่งสี่เหลี่ยมจตุรัสและสร้างวิหารยื่นออกไปเป็นรูปกากบาทหรือไม้กางเขนโดยเฉพาะทางทิศใต้ซึ่งเป็นหน้าวัดแต่เดิม สร้างเป็นวิหารขนาดใหญ่เป็นมหาปราสาทยอดปรางค์ที่พบที่วัดเชิงท่านี้แห่งเดียว
ส่วนศาลาการเปรียญสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในมีธรรมาสน์ปิดทองคำเปลวงดงาม ลายจำหลักไม้หน้าบันว่ากันว่าเป็นของเดิมที่เหลือรอดมาจากครั้งกรุงแตก ซึ่งย้ายมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังโบราณและยังมีงานช่างฝีมือเล็กๆ น้อยๆ มากมาย เช่น ลายจำหลักไม้ที่ส่วนบน ที่เรียกว่านมบนของอกเลา หรือสันกลางบานประตูหน้าต่าง ซึ่งสลักลวดลายแต่ละบานไม่ซ้ำกันเลย ทั้งลายไทย จีนและฝรั่งเสาแต่ละต้นก็มีลายมือสมัยรัชกาลที่ 4 เขียนไว้อย่างบรรจง
และเมื่อเข้าไปในบริเวณวัด พื้นที่จะแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยเป็นศาสนสถานที่สร้างใหม่ และมีพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯ เด่นสง่าให้สักการะ อีกส่วนจะเป็นโบราณสถาน ที่มีพระปรางค์งามเด่นตั้งสง่า โดยมีระเบียงคดโดยรอบ เหมาะกับเป็นมุมถ่ายภาพสวยๆ และอีกไฮไลต์ของวัด คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของศาลาการเปรียญ ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยฝีมือครูแขและคณะ เป็นจิตรกรรมสีฝุ่น วรรณะสีเย็น เนื้อหาจิตรกรรมเป็นภาพพุทธประวัติ ทศชาติชาดก เทพชุมนุม ฮกลกซิ่ว ภาพชีวิตความเป็นอยู่ และธรรมชาติ ที่ตั้งจิตรกรรมอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารที่กว้างใหญ่ การจัดวางองค์ประกอบภาพจึงแตกต่างจากวัดอื่นๆ สภาพจิตรกรรมลบเลือนมาก
เริ่มดำเนินการอนุรักษ์ตั้งแต่ปี 2526 ด้วยการศึกษาและบันทึกหลักฐานจิตรกรรมก่อนการอนุรักษ์ และดำเนินการอนุรักษ์ด้วยวิธีการทำความสะอาดพื้นผิว เสริมความมั่นคงของชั้นสีรองพื้น และชั้นปูน เขียนซ่อมสีและอาบผิวจิตรกรรมให้อยู่ในสภาพคงทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี