แม้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยจะสามารถควบคุมได้แล้ว เห็นได้จากไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่แบบระบาดในประเทศมานานนับเดือน คงเหลือแต่ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศแล้วเข้าสู่สถานกักกันโรคเท่านั้น แต่ในด้านเศรษฐกิจต้องบอกว่ายังอีกยาวไกลกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นรายได้สำคัญ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา “โลกเปลี่ยนไทยปรับ รองรับวิกฤติโรคระบาด” โดยคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่ง สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ไทยจะต้องอยู่กับวิกฤติอีกมาก ไม่ใช่แค่โควิด แต่เป็นวิกฤติซ้ำซากและวิกฤติเชิงซ้อนในเวลาเดียวกัน ระลอกแล้วระลอกเล่า
“ประเทศไทยต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและปรับโครงสร้างระยะยาวในเวลาเดียวกัน แต่เราไม่เคยทิ้งน้ำหนักที่สมดุลระหว่าง 2 เรื่องนี้ เน้นปากท้องมาก่อน เราติดกับดักนี้มานาน เราเรื้อรังกับปัญหาเก่า เราไม่ได้แก้โครงสร้างและพอเจอปัญหาใหม่ ไม่แก้โครงสร้างแล้วยังมาเจอวิกฤติกระหน่ำในเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจโลกก่อนโควิดกับหลังโควิดจะไม่เหมือนกัน แล้วประเทศไทยมองการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างไร” สุวิทย์ เปิดประเด็นคำถาม
อดีต รมว.การอุดมศึกษาฯ กล่าวต่อไปว่า โลกหลังโควิดทำให้หลายอย่างของโลกาภิวัฒน์ถูกสะบัดกลับไปหมด โควิด-19ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์เปลี่ยนไปสิ้นเชิงซึ่งคือวิกฤติเชิงซ้อนเมื่อพูดถึงเศรษฐกิจแต่มันมีการเมืองพันอยู่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ตอนนี้ต้องถือโอกาสเปลี่ยนการเมืองไปพร้อมๆ กับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ประเทศถึงเวลาจะปฏิรูปอย่างจริงจัง
มุมมองภาคเอกชน บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคิน ให้ความเห็นว่า ในวิกฤติมีโอกาส อะไรเกิดขึ้นแล้วดีทั้งนั้น แต่จะคิดว่ามันเป็นโอกาสแต่ก็ไม่ง่ายเพราะต้องทำให้สังคมตื่นตัว “สิ่งที่ต้องแก้อันแรกคือแก้รัฐธรรมนูญเพื่อก้าวสู่ประชาธิปไตย และควรเลิกยุทธศาสตร์ชาติ” เนื่องจากไม่มีผลดีต่อประเทศอย่างแน่นอน “เพราะไม่สะท้อนความเป็นจริงและไม่มีความทันสมัย”ไม่สามารถที่จะทำให้ประเทศเดินก้าวหน้า
ยุทธศาสตร์ชาตินั้นเปรียบเหมือน “ความฝันที่ทำให้เป็นกฎหมาย” อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะถึงร้อยละ100 ถ้าหากทำตามแผนปฏิรูปประเทศทุกแบบที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา อนึ่ง “รัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในด้านสาธารณสุข เห็นได้จากการรับมือไวรัสโควิด-19 จนมีอัตราการตายน้อยหากเทียบในระดับโลก แต่ในด้านเศรษฐกิจนั้นล้มเหลว” โดยถ้าหากมองในอดีตที่ผ่านมา ช่วงปี 2503-2540ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดีที่สุด แต่หลังจากปี 2540 เป็นต้นมามีอัตราการเติบโตช้าลงจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ “ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง” เห็นได้จากประชากรร้อยละ 1 ถือครองทรัพย์สินร้อยละ 77 ของทั้งประเทศ ส่วนประชากรอีกร้อยละ 50 ถือครองทรัพย์สินรวมกันไม่ถึงร้อยละ 10 จึงทำให้เห็นว่า “เรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยยังไม่ประสบความสำเร็จ” และหากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังต่ำจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ สันติ กีระนันท์ เลขานุการ คณะกรรมาธิการการเงินการคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ตอนนี้เป็นวิกฤติของโลก ต้อง Reset กันใหม่ทุกอย่าง ทำไมไทยไม่ใช้โอกาสนี้ในการคิดใหม่ เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด โปรยไปให้ทุกอุตสาหกรรม มาตรการต่างๆ ที่ออกมาไม่จำเป็นว่าต้องให้เงินสนับสนุนอย่างเดียว แต่มาตรการที่ไม่ใช่ตัวเงินก็จะต้องออกมา
“เราใช้ความเคยชิน คิดอย่างเดียวว่าจะโปรยเงินช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME-ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) เหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าแต่ละเอสเอ็มอีมีความเสี่ยงแต่ก็เสี่ยงไม่เท่ากัน ก็ต้องปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน โดยรัฐดันหลังกลุ่มที่ควรจะเป็น Flagship (เรือธง) แต่รัฐต้องลืมเรื่องฐานเสียงทางการเมืองและคนที่ไปต่อไม่ได้หาอาชีพใหม่หาธุรกิจใหม่ให้” สันติ กล่าว
สันติ กล่าวย้ำว่า “ไม่มีทางเปลี่ยนธรรมชาติได้” จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ได้ อย่าติดอยู่กับกรอบความคิดแบบเดิมๆ “กรอบวิธีคิดแบบเดิมๆ เราใช้การเมืองนำทุกอย่างแต่ไม่ได้คิดว่าประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนคืออะไร” การจัดสรรทรัพยากรต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเชิงเศรษฐกิจ แต่วันนี้คำถามคือการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่เกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์กับประชาชนมากเท่าไร โดยหลายอย่างในการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ซึ่งเป็นแบบคิดอย่างทำอย่าง ตั้งเป้าไว้อย่างหนึ่งแต่พอทำแล้วทำอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสวนทางกันเสมอ
“ถามว่าตอนที่กำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ กับบริบทวันนี้ที่เปลี่ยนไป เราจะเปลี่ยนหรือไม่ เราจะแก้ไขหรือไม่ผมเองตอนอภิปรายในสภา อยู่กลุ่มกลางๆ ไม่ได้ต่อต้านยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ควรกำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่ยุทธศาสตร์ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนได้เสมอ เป้าหมายอาจจะปรับเปลี่ยนได้บ้าง แต่เป้าหมายสุดท้ายเรื่องสร้างความมั่งคั่ง แต่นิยามของความมั่งคั่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท” สันติ ระบุ
ความเห็นของนักวิชาการ รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ปัญหานโยบายด้านเศรษฐกิจยุคโควิด-19 ของไทย อาทิ 1.ความช่วยเหลือด้านภาษี มีการยืดภาษีเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นการลดภาษีนำส่ง จากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 1.5 แต่อีกไม่นานจะปรับเป็น
ร้อยละ 2 ขณะที่สิงคโปร์ช่วยเหลือสูงสุดถึงร้อยละ 25 ช่วยเหลือด้านอสังหาริมทรัพย์ถึงร้อยละ 30 ส่วนเกาหลีใต้ลดภาษีให้กับผู้ประกอบการ SME ถึง 9 เดือน ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะยืดภาษีไปถึงสิ้นปี 2563เพื่อให้สถานประกอบการได้ฟื้นตัว
2.แรงงาน ไทยมีการชดเชยค่าแรงแต่ไม่มีนโยบายช่วยสถานประกอบการในการรักษาแรงงานให้อยู่ในสถานประกอบการ ซึ่งสถานประกอบการเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญที่สุดสำหรับแรงงาน ซึ่งหลายๆ สถาบันการเงินมีการให้สินเชื่อกับสถานประกอบการเหมือนกัน แต่ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 3.75-5 ซึ่งรัฐบาลน่าจะแบ่งงบในลักษณะให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินเพื่อต่อลมหายใจให้กับสถานประกอบการในการปรับตัว นอกจากนี้รัฐบาลควรมีการสนับสนุนในการทำ “Trading” อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น
และ 3.Soft loan หรือ “เงินกู้ผ่อนปรน” ซึ่งใช้เพื่อแก้ปัญหาเพียง ร้อยละ 25 โดยแบ่งเป็นภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ได้เพียงแค่ร้อยละ 5 เท่านั้น ส่วนภาคการผลิตได้ร้อยละ 20 จึงทำให้เห็นว่าการแก้ปัญหาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ไม่ได้เข้าถึงภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี