ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านมีนิสัยผาดโผนมาดั้งเดิมนับแต่เริ่มออกปฏิบัติใหม่ ๆ ดังที่เรียนแล้ว แม้ขณะจิตจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้ายก็ยังแสดงลวดลายให้องค์ท่านเองระลึกอยู่ไม่ลืม ถึงกับได้นำมาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังพอเป็นขวัญใจ คือ
พอจิตพลิกคว่ำวัฏจักรออกจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังแสดงขณะเป็นลักษณะฉวัดเฉวียนเวียนรอบตัววิวัฏจิตถึงสามรอบ
รอบที่หนึ่งสิ้นสุดลง แสดงบทบาลีขึ้นมาว่า “โลโป” บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือการลบสมมุติทั้งสิ้นออกจากใ
รอบที่สองสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “วิมุตติ” บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือความหลุดพ้นอย่างตายตัว
รอบที่สามสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “อนาลโย” บอกความหมายขึ้นมาว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือการตัดอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง เป็นเอกจิต เอกธรรม จิตแท้ ธรรมแท้มีอันเดียว ไม่มีสองเหมือนสมมุติทั้งหลาย นี่คือวิมุตติธรรมล้วน ๆ ไม่มีสมมุติเข้าแอบแฝง จึงมีได้เพียงอันเดียว รู้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีสองมีสามมาสืบต่อสนับสนุนกัน
พระพุทธเจ้าและพระสาวกล้วนแต่รู้เพียงครั้งเดียวก็เป็นเอกจิตเอกธรรมอันสมบูรณ์ ไม่แสวงเพื่ออะไรอีก สมมุติภายในคือขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยและทรงตัวอยู่ตามปกติเดิม ไม่มีการเพิ่มขึ้นและลดลงตามความตรัสรู้ คือขันธ์ที่เคยนึกคิด เป็นต้น ก็ทำหน้าที่ของตนไปตามคำสั่งของจิตผู้บงการ จิตที่เป็นวิมุตติก็หลุดพ้นจากความคละเคล้าพัวพันในขันธ์ ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างจริง ต่างไม่หาเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นกันดังที่เคยเป็นมา ต่างฝ่ายต่างสงบอยู่ตามธรรมชาติของตน ต่างฝ่ายต่างทำธุระหน้าที่ประจำตนจนกว่าจะถึงกาลแยกย้ายจากส่วนผสม
เมื่อกาลนั้นมาถึง จิตที่บริสุทธิ์ก็แสดง ยถาทีโป จ นิพฺพุโต เหมือนประทีปดวงไฟที่หมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ไปตามความจริง เรื่องของสมมุติที่เกี่ยวข้องกันก็มีเพียงเท่านี้ นอกนั้นไม่มีสมมุติจะติดต่อกันให้เกิดเรื่องราวต่อไป
นี่คือธรรมแสดงในจิตท่านขณะแสดงลวดลายเป็นขณะสามรอบจบลง อันเป็นวาระสุดท้ายแห่งสมมุติกับวิมุตติทำหน้าที่ต่อกันและแยกทางกันเดินตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ตลอดคืนวันนั้นท่านว่าท่านปลงความสลดสังเวชในความโง่เขลาเต่าตุ่น ซึ่งเปรียบเหมือนหุ่นตัวท่องเที่ยวในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีประมาณ จนน้ำตาไหลตลอดคืน ในขณะที่เดินทางมาพบบึงใหญ่ มีน้ำใสสะอาดรสชาติมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบมาก่อน ชื่อว่า “หนองอ้อ” และ “อ้อนี้เองหรือ” ที่พระพุทธเจ้าและสาวกท่านค้นพบว่าหนองอ้อ และประกาศธรรมสอนโลกมาได้ตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว เพิ่งมาพบวันนี้ และกราบพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อย่างถึงใจ โดยกราบแล้วกราบเล่าอยู่ทำนองนั้นไม่อิ่มพอ
ถ้ามีคนไปพบเห็นเข้า ซึ่งกำลังนั่งปลงธรรมสังเวชด้วยทั้งน้ำตาและก้มกราบแล้วกราบเล่าอยู่เช่นนั้น คงจะมีความรู้สึกผิดปกติขึ้นมาทันทีว่า สมณะรูปนี้เห็นท่าจะมีทุกข์มากถึงกับน้ำตาร่วงไหลออกมาและคงกราบกรานสารกล่าวเพื่อวิงวอนเทวดาอารักษ์ที่สิงสถิตอยู่ในทิศทั้งหลายให้ช่วยระบายคลายทุกข์ให้อย่างแน่นอน หรือมิฉะนั้นคงจวนเข้าขั้น.....แล้วเป็นแน่ ดังนี้แน่นอน เพราะเป็นกิริยาที่ผิดปกติเอามากในเวลานั้น ความจริงก็คือท่านถึงพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ประจักษ์ใจในคำว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต และเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทางมรรยาทของบุคคลผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมในใจจะพึงทำ ฝืนทนอยู่มิได้
ในคืนวันนั้นชาวเทพทั้งหลายทั้งเบื้องบนชั้นต่าง ๆ ทั้งเบื้องล่างทุกทิศทุกทาง หลังจากพร้อมกันให้สาธุการประสานเสียงสำเนียงไพเราะเสนาะโสตจนสะเทือนโลกธาตุ เพื่อประกาศอนุโมทนากับท่านแล้ว ยังพร้อมกันมาเยี่ยมฟังธรรมท่านอีกวาระหนึ่ง แต่ท่านไม่มีเวลารับแขก เพราะภารกิจเกี่ยวกับธรรมขั้นสูงสุดยังไม่ยุติลงเป็นปกติ ท่านเป็นเพียงให้อาณัติสัญญาณบอกชาวเทพทั้งหลายให้ทราบว่าท่านไม่ว่าง โอกาสหน้าค่อยมาใหม่ ชาวเทพทุกภูมิพากันกลับไปด้วยความโสมนัสยินดีโดยทั่วกัน ที่ได้มาพบเห็นวิสุทธิเทพในคืนแรกที่ท่านเห็นธรรม
พอสว่างออกจากที่ภาวนาแล้ว ท่านยังหวนระลึกถึงธรรมที่แสดงความอัศจรรย์ในตอนกลางคืนอยู่มิได้ลืม ทั้งขณะที่แสดงความหลุดพ้น ทั้งขณะที่แสดงสามรอบตอนสุดท้ายที่แสดงความหมายต่าง ๆ ให้ท่านเห็นอย่างละเอียดลออ ทั้งหวนระลึกคุณของต้นไม้ที่ท่านอาศัยนั่งภาวนาและสถานที่อยู่อาศัย ตลอดชาวบ้านที่ให้ทานอาหารปัจจัยความเป็นอยู่ทุกอย่างตลอดมา จนถึงเวลาบิณฑบาตซึ่งทีแรกท่านนึกจะไม่ไปบิณฑบาตมาฉัน โดยคิดว่าเท่าที่เสวยวิมุตติสุขตอนกลางคืนมาถึงบัดนี้ก็พอกับความต้องการอยู่แล้ว แต่อดคิดเมตตาสงสารชาวบ้านป่าบ้านเขาที่เคยมีบุญคุณต่อท่านมิได้ เลยจำต้องไปทั้งที่ไม่ประสงค์จะไป
ขณะออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวเขา สายตาปรากฏว่า ตั้งหน้าตั้งตาจับจ้องมองดูชาวบ้านทั้งที่มาใส่บาตร ทั้งที่อยู่ตามบ้านตามเรือน ตลอดเด็กเล็ก ๆ ที่เล่นคลุกฝุ่นอยู่ตามหน้าบ้านหลังเรือนด้วยความสนใจและเมตตาสงสารเป็นพิเศษ ทั้งที่แต่ก่อนไม่ค่อยมองดูใคร แม้ประชาชนทั้งบ้านก็รู้สึกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ มองเห็นท่านแล้วต่างยิ้มย่องผ่องใสไปตาม ๆ กัน กลับมาถึงที่พักแล้วใจก็อิ่มธรรม ธาตุขันธ์ก็อิ่มพอในอาหารทั้งที่ยังมิได้ลงมือฉัน จิตใจและธาตุขันธ์ไม่รู้สึกหิวโหยอะไรเลย แต่ก็ฝืนฉันไปตามจารีตของขันธ์ที่มีความสืบต่อกันด้วยอาหารปัจจัยเป็นเครื่องประสาน ขณะฉันอาหารก็ไม่มีรสชาติ มีแต่รสแห่งธรรมท่วมท้นไปหมดทั่วร่างกายจิตใจ เข้าในบทธรรมว่า รสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวง
ในคืนต่อมาชาวเทพทั้งหลายที่มีความหิวกระหายในธรรม ได้พากันมาเยี่ยมท่านเป็น พวก ๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแทบทุกทิศทุกทาง ต่างพวกก็มาเล่าความอัศจรรย์แห่งรัศมีและอานุภาพแห่งธรรมของคืนวันนั้นให้ท่านฟังว่า
เหมือนสวรรค์วิมานพิภพ ครุฑ นาค เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ ทุกชั้นทุกภูมิในแดนโลกธาตุ สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปตาม ๆ กัน พร้อมกับความอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ส่งแสงสว่างไปทั่วพิภพเบื้องบนเบื้องล่างไม่มีประมาณ ผู้มีญาณหยั่งทราบต้องสามารถมองเห็นกันได้ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรปิดบัง เพราะความสว่างไสวแห่งธรรมที่พุ่งออกจากกายจากใจของพระคุณเจ้า ยิ่งกว่าความสว่างของดวงอาทิตย์ร้อยดวงพันดวงเป็นไหน ๆ
ใครไม่เห็นและเกิดความอัศจรรย์ก็นับว่าเหลือทน ที่เกิดเป็นคนเป็นสัตว์นอนค้างโลกอยู่เปล่า ๆ นอกจากสัตว์ตัวมืดมิดปิดทวารเอาเสียจริง ๆ จนไม่มีช่องว่างเอาเลย ถึงจะไม่รู้ไม่เห็นความอัศจรรย์ของคืนวันนั้น ใครอยู่ที่ไหนต่างก็ตะลึงพรึงเพริดเกิดพิศวงงงงันและอัศจรรย์ไปตาม ๆ กัน พวกเทวดาในภพภูมิต่าง ๆ จึงได้พากันเปล่งเสียงสาธุการ เพื่ออนุโมทนาโพธิสมภารที่เกิดจากบุญบันดาล เพราะบารมีของพระคุณเจ้าเป็นเสียงเดียวกัน ถ้าไม่อัศจรรย์ถึงขนาดนั้น ใครจะได้รู้ทั่วถึงกันเลย นับว่าพระคุณเจ้ามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีวาสนาบารมีแก่กล้า สามารถทำให้มวลสัตว์มากมายหลายภพหลายภูมิ ได้อาศัยพึ่งร่มเงาแห่งความร่มเย็นจากบารมีท่านได้เป็นสุขทั่วหน้ากัน นาน ๆ ทีถึงจะมีสักครั้ง
ผู้ไม่มีบุญวาสนาไม่ว่ามนุษย์มนา เทวดา อินทร์ พรหม ใต้น้ำบนบกในเวหาอากาศทั่วไตรโลกธาตุ เกิดมาตายเปล่าไม่ได้พบได้เห็นอย่างง่ายดาย ทั้งนี้นับว่าพวกข้าพเจ้าทั้งหลายมีบุญชักนำมา วาสนาตามส่งถึงได้พบได้เห็น ได้กราบไหว้บูชาท่านอย่างสมใจ และได้ฟังโอวาทคำสั่งสอนที่ท่านเมตตาชี้แจงพอเป็นแสงสว่างแก่จิตใจ และทางดำเนินเพื่อภพเพื่อภูมิอันสูงส่งขึ้นไปด้วยความสดชื่นตื่นตัว
พอพวกเทวดาที่มาจากชั้นและที่ต่าง ๆ กลับไปตามวาระของตน ซึ่งมาในเวลาต่าง ๆ กันแล้ว ท่านก็เริ่มรำพึงธรรมที่ได้รู้เห็นมาด้วยความทุกข์ยากลำบาก ปรากฏได้ความสำหรับท่านผู้ค่อนข้างปฏิบัติยากผิดธรรมดาว่า “ธรรมรอดตาย” ถ้าไม่รอดตายก็คงไม่ได้พบเห็นแน่นอน เมื่อพยายามแหวกว่ายจนถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยไร้ทุกข์แล้ว จากนั้นพอเริ่มทำภาวนาทีไร ทำให้ท่านหวนระลึกถึงสิ่งที่ไม่ควรระลึกแทบทุกครั้งไป ทั้งที่แต่ก่อนท่านไม่เคยสนใจเลย
.......................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๑ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี "อัศจรรย์แห่งคืนที่บรรลุธรรม" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-05.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี