“สกู๊ปแนวหน้า” ยังคงอยู่ที่งานสัมมนา “ทิศทางและอนาคตธุรกิจสุราไทย” จัดโดยคณะอนุกรรมาธิการศึกษาพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุรา ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหลังจากในตอนที่แล้ว (ปัญหาเรื่อง“เหล้า” (1) กฎหมายหรือการบังคับใช้ : หน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.ย. 2563) ได้กล่าวถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นโอกาสของชุมชนท้องถิ่น กับผลกระทบต่อสังคมที่เกิดจากปัญหาการบังคับใช้กฎหมายไปแล้ว ในฉบับนี้จะว่าด้วยเรื่องของ “การควบคุม” โดยเฉพาะ “การห้ามโฆษณา” ที่ยังมีข้อถกเถียง
ในช่วงเช้าของการสัมมนา นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ แม้จะเห็นด้วยกับการส่งเสริมกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับท้องถิ่นเพราะเข้ากับบริบทของสังคมไทยที่คนจำนวนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรม อีกทั้งปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วไปขับขี่ยานพาหนะมีสาเหตุจากการบังคับใช้กฎหมาย แต่กับการโฆษณานั้นยังน่ากังวลในแง่ผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน
“การโฆษณามีผลกับเด็กที่เพิ่งโตขึ้นมาแล้วเขาดูทีวี ดูอินเตอร์เนต เด็กที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ มีเด็กคนหนึ่งมาถาม เมื่อก่อนนะ ก่อนที่จะมีการควบคุม ถามว่าทำไมผมดื่มสุราไม่ได้ ก็ดื่มแล้วมันภาคภูมิใจ คือเราก็โฆษณากันจนสุด อย่างนี้นึกออกไหม? ภาคภูมิใจนี่ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เด็กที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตรงนี้สำคัญมาก โฆษณามีผลกับเด็ก ฉะนั้นเด็กที่ไม่เคยคิดจะดื่ม เด็กที่ดูแล้วมันสวยงามมันดี ยังไงก็ดื่ม ฉะนั้นการโฆษณายังไงก็มีผลกับสังคม” เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าว
นพ.แท้จริง ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 32 ที่ว่าด้วยการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ “คดีจำนวนมากไปไม่ถึงศาล จึงไม่มีความชัดเจนว่าอะไรทำได้-ไม่ได้” ซึ่งหากคดีถึงที่สุด ศาลจะอธิบายในคำพิพากษาว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้พร้อมเหตุผล แต่หลายคนเลือกที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติเรื่องก่อน “แต่อีกด้านหนึ่ง..มีตัวแทนประชาชนลุกขึ้นชี้แจงว่า เหตุที่ไม่ไปถึงศาล แต่เลือกเสียค่าปรับเพื่อจบเรื่องโดยเร็วเพราะกระบวนการยุติธรรมของไทยมีค่าใช้จ่ายสูง” โดยเฉพาะหากต้องสู้คดีเป็นเวลานาน
ขณะที่ ธิปไตร แสละวงศ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นว่า ข้อกังวลด้านผลกระทบควรวิเคราะห์ให้ชัดว่าเครื่องดื่มแบบใดสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนได้ง่าย เช่น “เด็กจะไม่ดื่มเหล้าแรงๆ แต่จะเริ่มจากเครื่องดื่มที่มีรสหวาน” เมื่อทราบแล้วก็กำหนดแนวทางควบคุมเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวต่อไป หรือวิเคราะห์เป็นรายช่องทาง (Channel) ในการโฆษณา หรือช่วงเวลาโฆษณา ไม่ใช่กำหนดแบบหว่านแห
“เด็กเชียร์เบียร์ ผมคิดว่าคนที่จะไปดื่มเหล้า ไปในพื้นที่บางพื้นที่มันถูกเลือกอยู่แล้วว่าเป็นใคร ไม่ใช่เยาวชน ฉะนั้นจะไปห้ามเด็กเชียร์เบียร์ว่าผิดกฎหมายโฆษณาสุรา ต้องถามนิดหนึ่งว่าเด็กเชียร์เบียร์ส่งผลกระทบจริงไหมในการที่จะจูงใจให้เยาวชนเข้ามาเป็นนักดื่ม” ธิปไตร ยกตัวอย่างกรณีสาวเชียร์เบียร์ ซึ่งเคยมีกรณีร้องเรียนว่าถูกแจ้งข้อหาโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ส่วนการสัมมนาในช่วงบ่าย ไฮไลท์ที่หลายคนจับตามองในการสัมมนาครั้งนี้ คือการที่ฝ่ายซึ่งประกาศตัวว่าอยู่ตรงข้ามกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอมมาขึ้นเวทีด้วย โดย คำรณชูเดชา แกนนำกลุ่ม Alcohol Watch อ้างรายงานขององค์การอนามัยโลก ที่แนะนำเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ 3 เรื่อง 1.ลดการเข้าถึง 2.มาตรการทางภาษี และ 3.ควบคุมการโฆษณา ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 พบว่า ทั้งรูปแบบการโฆษณา รวมถึงการเลือกสถานที่จัดงานที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
“ปัจจุบันจะเห็นว่าธุรกิจใหญ่ถ้าจะจัดคอนเสิร์ตต้องไปสถานที่ที่พิเศษ อันนี้มันเข้ากับเจตนารมณ์ของเราที่บอกว่าเราควบคุม เราไม่ได้ต้องการจะกวาดสุราลงจากโต๊ะ แต่เราคิดว่าอยู่บนพื้นฐานของการอยู่เป็นที่เป็นทาง เพราะเราคิดว่าการอยู่เป็นที่เป็นทางมันจะทำให้มาตรการในการดูแลมีประสิทธิภาพขึ้น อย่างปัจจุบันจะเห็นว่าคอนเสิร์ต ธุรกิจใหญ่ไปทำจะเห็นพัฒนาการมาก มีการ Screen (คัดกรอง) มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาเรียกว่าในเชิงคุณภาพการบังคับใช้ถือว่าดี อาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าดีขึ้น” คำรณ กล่าว
คำรณกล่าวต่อไปใน “ประเด็นโฆษณารณรงค์” ซึ่งยอมรับว่า “ไม่ค่อยเห็นด้วยนักที่เน้นเรื่องศีลธรรมบาปบุญคุณโทษ แต่ก็เข้าใจว่าคนกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มรณรงค์มาจากสายสาธารณสุขกับสายศาสนา” ทั้งนี้ ตนเสนอให้ “รณรงค์ตามช่วงวัย” เช่น นักเรียนระดับชั้นมัธยมลงมาไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในขณะที่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่รู้กันว่าดื่มกันมาก่อนแล้วจะไปบอกให้เลิกดื่มคงทำไม่ได้ จึงเน้นให้ร้านค้าปฏิบัติตามกฎหมาย หรือวัยทำงาน วัยผู้สูงอายุ จะรณรงค์อย่างไร “รัฐต้องคิดวิธีการสื่อสารให้เหมาะสม” ไม่ใช่ทำแบบตีขลุมกว้างๆ
ด้าน ธนากร คุปตจิตต์ นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) กล่าวย้ำว่า “องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่เคยกำหนดเป้าหมายให้ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ให้ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่ง 2 เรื่องนี้แตกต่างกัน” กฎหมายตั้งชื่อว่าควบคุม แต่การนำไปใช้กลับกลายเป็นการมุ่งกำจัดเสียมากกว่า
ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญของ “การให้ความรู้” เช่น ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีสารอะไร เข้าสู่ร่างกายอย่างไร ถูกขับออกอย่างไร ความแตกต่างระหว่างเพศหญิงกับชายด้านปริมาณแอลกอฮอล์ที่ร่างกายสามารถรับได้ “หากคนมีความรู้ก็จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่ม” ซึ่งในประเทศฝั่งทวีปยุโรป มีการให้ความรู้เรื่องนี้เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนจะถึงอายุที่กฎหมายอนุญาตให้ซื้อหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ และได้ผลลัพธ์ที่ดี
เช่นเดียวกับ ธราทิพย์ ธาราพืช ผู้ทำรายการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบ (Youtube) ช่อง “เบียร์จ๋า” ที่ยกตัวอย่างประเทศ ญี่ปุ่น ซึ่งมีการทำคู่มือเล่มเล็กๆ สำหรับให้ความรู้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาผ่านพ่อแม่ผู้ปกครอง ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดเป็นอย่างไร ผลกระทบจากการดื่มเป็นอย่างไร เหตุใดเด็กถึงไม่ควรดื่ม มีแม้กระทั่งวิธีการปฏิเสธหากถูกชักชวนให้ดื่ม พร้อมตัวเลขสถิติต่างๆ ทีเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“การรณรงค์ที่ดีที่สุด ขอเน้นย้ำว่าขอเป็นด้านข้อมูลเยอะๆ เริ่มปลูกฝังตั้งแต่เด็กเลย ตอนนี้เยาวชนเขากระหายข้อมูลมาก ตอนนี้ไม่มีใครป้อนให้เขา เขาก็ไปหาเอง อย่างตอนนี้ที่เรากำลังล่ารายชื่อแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เท่าที่เห็นส่วนใหญ่มีแต่นักศึกษา ผู้ใหญ่ไม่ค่อยมี 90% เป็นนักศึกษาและเป็นผู้หญิงด้วย” ธราทิพย์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี