“ระยะเวลาในการตัดไม้พะยูงต้นหนึ่งเพื่อลำเลียงออกจากพื้นที่ใช้เวลา 5 นาที ครับท่าน ผมพูดเกินไปหรือเปล่า? เวลาเขาเข้าไปเขาไม่ได้ใช้เลื่อยตัวเดียวนะครับ เขาเข้าไปพร้อมกันหลายๆ เครื่อง พอโค่นเลื่อยโซ่ยนต์เล่มใหญ่ลงปุ๊บ! เขาก็จะเริ่มตัดเป็นท่อนๆ แบกขึ้นรถ รับรองครับไม่เกิน 5 นาที สามารถที่จะเคลื่อนย้ายออกพอได้ยินเสียงเครื่องยนต์เลื่อยโซ่ยนต์ แปร๊น! กว่าเราจะเข้าไปถึง พอไปถึงก็เหลือแต่ตอแล้วครับ
เพราะฉะนั้นกลไกอะไรก็แล้วแต่ในการดูแลไม้พะยูง ป้องกันการลักลอบตัด ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหามาก เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปนอนเฝ้าไม้พะยูงได้ แม้แต่ไม้พะยูงที่เกิดเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ใช่สมบัติสาธารณะอย่างเดียวนะครับ ทรัพย์สินส่วนตัววันแรกจะมาขอต่อรองซื้อ สมมุติขอซื้อ 5 หมื่นบาท เจ้าของอยากได้แสนบาท ตื่นเช้าขึ้นมาเหลือแต่ตอเลยครับ ไม่ได้สักบาท”
เรื่องเล่าจาก สายยล สีหาบัว ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดร้อยเอ็ด ถึงสถานการณ์การลักลอบตัดไม้พะยูง ซึ่งในอดีตเป็นเพียงไม้ยืนต้นธรรมดาๆ ไม่มีค่าอะไรนักในสายตาชาวบ้านท้องถิ่น กระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่สหัสวรรษใหม่หรือต้นยุค 2000 ที่ประเทศจีนกำลังเตรียมความพร้อมเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก 2008 (หรือปี 2551) ณ กรุงปักกิ่ง แล้วต้องเร่งบูรณะซ่อมแซมพระราชวังต้องห้าม หนึ่งในโบราณสถานสำคัญของจีนและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จึงต้องการไม้พะยูงจำนวนมาก
และด้วยความที่ชาวจีนเชื่อว่าไม้พะยูงเป็นไม้มงคล อีกทั้งเศรษฐกิจของจีนยังโตวันโตคืน ชาวจีนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น การนำเข้าไม้พะยูงจากต่างแดนจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่สนว่าจะเป็นไม้ที่ได้มาอย่างถูกหรือผิดกฎหมาย ประกอบกับช่างฝีมือชาวจีนสามารถแปรรูปไม้พะยูงแม้กระทั่งเศษไม้ท่อนเล็กๆ ให้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์หน้าตาสวยงาม ทำให้ความต้องการไม้พะยูงในตลาดจีนไม่ลดลง
“ผมเคยมีโอกาสได้ไปเมืองจีน ตอนนั้นได้ไปอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่เผยแพร่ที่เมืองจีน ราคาซื้อขายที่เมืองจีนประมาณถ้าตีเป็นเงินไทยแล้วกิโล(กรัม)ละ 3 หมื่นบาท คิดดูแล้วกันว่ากระแสความต้องการจะรุนแรงขนาดไหน เมื่อก่อนไม้พะยูงเป็นไม้ที่คนภาคอีสานเราไม่ค่อยใช้ประโยชน์ เนื่องจากว่าเป็นไม้ที่มีการจัดการยาก เพราะว่ากว่าจะแปรรูป กว่าจะนำมาใช้ต้องใช้ช่างเทคนิคชั้นสูง
ส่วนมากท่านจะเห็นว่าส่วนใหญ่เขาเอาไปล้อมคอกควาย-คอกวัว คือทำเป็นไม้แก่นร่อน เอาไปปักๆ ไว้ หลังๆ ไม้แก่นร่อนก็ถูกรื้อเอาไปขายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็จึงอยู่คู่ประเทศไทยมาจนถึงช่วงเวลาดังกล่าว ฉะนั้นกระแสในการลักลอบตัดไม้พะยูงของขบวนการลักลอบตัดไม้เพื่อส่งไปจำหน่ายที่จีนมีความรุนแรงสูงมาก จนจะต้องมีการชนิดที่เรียกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นภาครัฐไม่สามารถดำเนินการเพื่อจัดการได้ เพราะไม้พะยูงไม่ได้ขึ้นใกล้หมู่บ้าน แต่ขึ้นแทรกในป่า ในพื้นที่ห่างไกล” ผอ.สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ร้อยเอ็ด ระบุ
ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นจนภาครัฐก็แทบเกินกำลังรับมือ ในบางพื้นที่ปรากฏการลุกขึ้นสู้ของชาวบ้านเพื่อปกป้องความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในละแวกชุมชนของตนเอง ดังกรณีของ “ป่าชุมชนดงทำเล-ดอนใหญ่ บ้านหนองปั่ว ต.ช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด” ซึ่งแกนนำคนสำคัญอย่าง ดวงจันทร์ พาลำโกน ประธานกลุ่มเครือข่ายจิตอาสาพิทักษ์ป่าชุมชน กล่าวว่า แม้จะถูกค่อนขอดอยู่เนืองๆ “บ้าหรือเปล่าที่ออกไปนอนเฝ้าป่า?” แต่ตนก็ยินดีจะทำเช่นนี้ “ถ้าบ้าแล้วทำให้คนดีๆ มีความสุขกับการมีป่าก็ไม่เป็นไร” เพราะผืนป่านั้นอยู่คู่กับวิถีชุมชนตั้งแต่เกิดจนตาย
หนุ่มใหญ่รายนี้ ระบุว่า สถานการณ์การลักลอบตัดไม้พะยูงรุนแรงขึ้นในปี 2555 ในระยะแรกๆ ชาวบ้านยังทำเพียงการแจ้งความตามขั้นตอนของกฎหมายแต่ก็ไม่สามารถลดจำนวนการลักลอบตัดไม้ลงได้ “แม้คนที่นี่จะไม่ได้เห็นไม้พะยูงมีค่ามากกว่าไม้อื่นๆแต่การปล่อยให้มีการลักลอบตัดไม้ นานวันเข้าความเป็นป่าซึ่งบรรพชนเคยหวงแหนรักษาไว้สืบมารุ่นต่อรุ่นคงไม่เหลือแน่นอน” คณะกรรมการป่าชุมชนซึ่งเวลานั้นมีอยู่ 15 คน จึงเรียกประชุมชาวบ้านเพื่อถามความสมัครใจว่าใครจะยอมรับภารกิจพิทักษ์ป่าบ้าง
“ใครอาสาที่จะมานอนเฝ้าป่าผู้ได๋อาสาสิเป็นบ้ากับประธานดวง? (ผู้ใดอาสาที่จะเป็นบ้ากับประธานดวง) ตอนแรกก็มีประมาณ 40 คน ก็รวมกลุ่มกันโดยกลุ่มก็แต่งตั้งให้ผมเป็นประธานกลุ่ม ใช้รูปแบบบวร ปรึกษาท่านพระอาจารย์แสง (พระอาจารย์ ดร.แสงจันทร์ ถิตะสาโร) บ้าน วัด โรงเรียน ทำงานร่วมกัน เข้าเวรยาม ตอนแรกลำบากมากครับ ป้อมยามก็เอาไม้ผุๆ มาทำ ฝนตกก็ต้องมา ฝนตกรั่วเปียกทั้งคืนก็อยู่ ผมก็ยอมรับน้ำใจ ยอมรับความกล้าของสมาชิกทุกคนเพราะคิดว่าเขาทุกคนคงไม่แตกต่างจากผม
บางคนก็บอกว่าประธานดวงบ่ย่านตาย! (ประธานดวงไม่กลัวตาย) ครอบครัวยังเป็นห่วง ลูกก็ห่วงแม่บ้านก็บอกว่าเป็นห่วง ผมบอกว่าผมตายก็ไม่เป็นไร ผมตายผมก็ยอมขอให้ป่ายังอยู่ แต่ถ้าป่าไม่อยู่บ้านหนองปั่วตายหมดแน่นอน ผมคิดอย่างนี้แล้วสมาชิกทุกคนก็เป็นคนที่รักป่า พอดีอยู่กับมาสักพักก็ลุ่มๆ ดอนๆ คิดว่าจะรอดแหล่ไม่รอดแหล่ ก็เลยประชุมกันเอาอย่างไร? อาวุธปืนก็ไม่มี ก็ปรึกษากันกับท่านพระอาจารย์แสง เราต้องประสานหน่วยงานราชการ โดยท่านพระอาจารย์เป็นผู้ประสาน” ดวงจันทร์ กล่าว
จากความตั้งใจจริงของชาวบ้านในพื้นที่ แรงสนับสนุนจากภาครัฐก็ค่อยๆ เข้ามา เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ช้างเผือก รวมถึงทางจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาช่วยจัดระบบและอนุมัติงบประมาณสำหรับใช้ในงานพิทักษ์ป่า อาทิ บูรณะป้อมยามให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น ซึ่ง ดวงจันทร์เชื่อมั่นว่า “หากชุมชนกับภาครัฐทำงานร่วมกันได้ พื้นที่นี้จะรักษาผืนป่าไว้ได้อย่างแน่นอน” และหากสามารถเชื่อมต่อกับชุมชนอื่นๆ ร้อยเอ็ดคงจะเป็นจังหวัดหนึ่งที่เพิ่มพื้นที่ป่าขึ้นได้อีก
ด้านพระสงฆ์ผู้เป็นขวัญกำลังใจของชุมชน พระอาจารย์ ดร.แสงจันทร์ ถิตะสาโร กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของ
ความร่วมมือกับชุมชน มาจากการทำงานวิจัยที่ต้องมาเก็บข้อมูลในชุมชน ทำให้ได้เห็นถึงปัญหาและความตั้งใจของคนในชุมชน จึงนำข้อมูลทั้งหมดไปประสานกับหน่วยงานภาครัฐ จนในเวลาต่อมาสถานการณ์การลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ดังกล่าวเริ่มเบาลง ประกอบกับมีหลากหลายหน่วยงานเข้ามาเป็นกำลังเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“ในขณะนั้นการตัดไม้อยู่ในช่วงวิกฤติ ตอนนั้นไม่มีความชัดเจนในเรื่องของขบวนการการตัดไม้ แม้แต่ระดับหัวหน้าราชการก็ไม่อยากจะยุ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่อาตมาได้รับฟังรับทราบมาแต่ไม่เคยพูดให้กลุ่มจิตอาสาฟัง ว่าสิ่งที่เราทำไปนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ แต่อาตมาก็มีเรื่องท้าทายอยู่ในจิตใจเหมือนกันว่าการทำความดีมันต้องได้ดี อาตมาจะบอกกลุ่มจิตอาสาตรงนี้ แล้วก็ให้เขามีความสุขกับการทำงาน
แล้วก็การรักษาป่าของเราไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดตรงไหน? หรือจะรักษาไปถึงกันอย่างไร? ก็ให้มีความสุขกับการทำงาน อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา ทำไปเรื่อยๆ ใครว่างก็มา ใครมีภาระทางครอบครัวก็ไม่ต้องมา การมาคือการมาสร้างความสุขในการดูแลรักษาป่า คือบอกให้เขาเข้าใจ ในส่วนของราชการเราก็นำเรียนเรื่องปัญหาการตัดไม้ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ มีกรอบในการทำงาน” พระอาจารย์ ดร.แสงจันทร์ ระบุ
จากความตั้งใจจริงจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทำให้กลุ่มเครือข่ายจิตอาสาพิทักษ์ป่าชุมชน ป่าชุมชนดงทำเล-ดอนใหญ่ บ้านหนองปั่ว ต.ช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ถูกเสนอชื่อเข้ารับ “รางวัลเลิศรัฐ” ประจำปี 2563 รางวัลเกียรติยศที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานของหน่วยงานภาครัฐ เช่น การพัฒนางานบริการหรือประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เป็นต้น
วิชิตร์ แสงทองล้วน ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.พ.ร. ซึ่งนำคณะทำงานของ ก.พ.ร. และสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชมการทำงานของกลุ่มเครือข่ายจิตอาสาพิทักษ์ป่าชุมชน ป่าชุมชนดงทำเล-ดอนใหญ่ บ้านหนองปั่ว ต.ช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อเร็วๆ นี้ กล่าวเสริมว่า “วันนี้มิติในการทำงานของภาครัฐกำลังเปลี่ยนไป” ภาครัฐไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงานเพียงลำพังและไม่ทำเพียงสั่งการ แต่มีการสร้างกลไกความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งท้องถิ่น ภาคเอกชน ชุมชน ฯลฯ เพื่อพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของท้องที่นั้นๆ
“ถ้าในพื้นที่มีความต้องการแล้วร่วมมือร่วมใจกัน...จะเกิดความยั่งยืน” ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี