วันที่ “1 ตุลาคม” ของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุสากล (International Day of Older Persons)” โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ ที่ครั้งหนึ่งได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้กับสังคม ซึ่งผู้สูงอายุสามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ผู้สูงอายุวัยต้นคือผู้มีอายุตั้งแต่ 60-69 ปี และผู้สูงอายุวัยปลาย คือผู้มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป แต่สำหรับวันผู้สูงอายุสากลประจำปี 2563 นั้นคงไม่ใช่ปีที่ดีนักเนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำเอาปั่นป่วนไปทั้งโลก
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมา มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีอภิปราย “การดูแลผู้สูงอายุในช่วงวิกฤติ...บทเรียนจากไทยและต่างประเทศเพื่ออนาคต” ที่ รร.แมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ โดย ศ.ศศิพัฒน์ ยอดเพชร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยกตัวอย่างมาตรการดูแลผู้สูงอายุจากหลายประเทศช่วงโควิด-19
อาทิ “สหรัฐอเมริกา” เป็นต้นแบบที่ดีด้าน “ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุตอนกลางวัน” เพราะแม้ศูนย์จะปิดแต่บริการไม่ได้ปิดไปด้วย เช่น อาหาร ยารักษาโรค และการให้คำปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หมุนเวียนมาประจำการตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้การกำกับดูแลโดยภาครัฐคือ กรมผู้สูงอายุ กับภาคประชาชนคือ สภาผู้สูงอายุแห่งชาติ ออกคู่มือแนวปฏิบัติกำหนดหน้าที่ของศูนย์ฯ ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ที่สำคัญคือ “ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุทุกแห่งมีการเตรียมพร้อมสมาชิกให้สามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลได้” และในช่วงที่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ เริ่มรุนแรง ทางศูนย์ฯ ได้สำรวจฐานข้อมูลผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกเพื่อปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างรวดเร็ว อาทิ พักอาศัยกับใคร ต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง มีทักษะด้านการใช้สื่อออนไลน์หรือไม่ มีภาระการเจ็บป่วยฉุกเฉินอะไรอย่างไร มีการตรวจสอบกระทั่งว่าโทรศัพท์และอุปกรณ์ดิจิทัลใช้การได้หรือไม่ เป็นต้น รวมถึงมีการจัดอาหารกลางวันเตรียมไว้ ใครมารับได้ก็มา ใครมาไม่ไหวมีบริการส่งถึงบ้าน
มี 2 ประเทศ คือ “ออสเตรเลีย-สิงคโปร์” เป็นต้นแบบที่ดีด้าน “การให้ข้อมูลที่เน้นการพึ่งตนเอง” ทำให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น สิงคโปร์นั้นเน้นให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองได้เมื่ออยู่ที่บ้าน ตามคำขวัญ “อยู่อย่างแข็งแรง อยู่อย่างปลอดภัย (Stay Strong Stay Safe)” มหาวิทยาลัยแห่งชาติ จัดทำคู่มือทั้งแบบเป็นหนังสือเล่มและหนังสือดิจิทัล ภายในบรรจุข้อมูลสายด่วนบริการให้ข้อมูลและการดูแลผู้สูงอายุ เช่น สายด่วนโควิด เครือข่ายที่ปรึกษา จัดหาผู้ดูแล ช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน อาทิ เมื่อไม่มีอาหารรับประทาน รวมถึงส่งเสริมให้ออกกำลังกาย
“ในเรื่องการดูแลตัวเอง เขาให้ข้อแนะนำแม้กระทั่งว่าคุณจะต้องเช็ดเท้าอย่างไร รองเท้าแตะคุณจะต้องใส่อย่างไร จัดบ้านให้ปลอดภัย ไฟต้องเปลี่ยนอย่างน้อยต้อง 100 วัตต์ขึ้นไป ไฟริบหรี่ใช้ไม่ได้เดี๋ยวจะล้ม เพิ่มประสิทธิภาพการรับประทานอาหาร ออกแม้กระทั่งเมนูอาหารมาให้ แล้วก็มีอื่นๆ มากมาย อันนี้จะต่างจากบ้านเรา ข้อมูลตรงนี้เราไม่ค่อยจะมี เรามีที่ให้ป้องกันให้รักษาตัวเอง ซึ่งผลมันก็ออกมาว่าประเทศเรานี่ป้องกันได้ดีมาก แต่ข้อมูลด้านสังคมก็จะมีน้อย อาจจะเป็นเพราะเครือข่ายเราดี ครอบครัวเราดี เราไม่เหมือนคนอื่น” ศ.ศศิพัฒน์ กล่าว
ขณะที่ออสเตรเลีย มีการจัดทำข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มเฉพาะหลากหลาย เช่น กลุ่มชาวอะบอริจินส์ (ชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย) กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQ) เพื่อให้แต่ละกลุ่มดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง ส่วน “แคนาดา” เป็นประเทศที่โดดเด่นด้าน “การกระจายงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา” มีโครงการ New Horizon for Senior Program ซึ่งคล้ายกับกองทุนผู้สูงอายุในประเทศไทย กองทุนนี้จะแบ่งทุนไว้ 2 ระดับ คือ ระดับท้องถิ่นกับระดับประเทศ
ในช่วงก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19 กองทุน New Horizon for Senior Program ได้อนุมัติงบประมาณระดับชุมชน 2,166 โครงการ แต่เมื่อสถานการณ์โรคระบาดมาเยือน ทุกโครงการมีการปรับเปลี่ยนโดยให้สามารถนำงบฯ ไปใช้เพื่อการรับมือในกลุ่มผู้สูงอายุได้ทันที ภายใต้ขอบเขตงาน 5 ประการ 1.จัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 2.กิจกรรมคงความสัมพันธ์กับครอบครัวและชุมชนเช่น จัดหารอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัลเพื่อการสื่อสาร3.พาผู้สูงอายุไปพบแพทย์
4.จ้างพนักงานแทนอาสาสมัคร เพราะในช่วงวิกฤติพบอาสาสมัครขาดแคลน และ 5.ให้ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองได้ ต่อมาในเดือน พ.ค. 2563 เมื่อรัฐบาลแคนาดาเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย จึงเพิ่มงบประมาณอุดหนุนกองทุนอีก 20 ล้านเหรียญแคนาดา โดยกองทุนจะทำงานกับเครือข่ายที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว แต่มีการเพิ่มกิจกรรมเข้าไป เช่น ป้องกันผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งและปัญหาสุขภาพจิต เพิ่มศักยภาพการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเสมือนจริง และเตรียมพร้อมผู้สูงอายุในการใช้ชีวิตหลังคลายมาตรการล็อกดาวน์
กรณีของแคนาดา สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังโดดเด่นด้าน “การบูรณาการระหว่างองค์กรต่างๆ ทั้งในและนอกภาครัฐ” รวมถึงแบ่งปันข้อมูลและทรัพยากรเพื่อจัดระบบกระจายบริการอย่างทั่วถึง ขณะที่ต้นแบบด้าน “การเสริมสร้างทักษะด้านเทคโนโลยี” สิงคโปร์มีการทำรายการสอนการใช้เครื่องมือดิจิทัลโดยเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ส่วนออสเตรเลียกับสหรัฐฯ ยังจัดมาตรการให้ผู้สูงอายุเข้าถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อเหล่านี้ด้วย เช่น การให้ยืม
“อิตาลี-จีน” เป็น 2 ประเทศที่น่าสนใจในด้าน “การดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุในช่วงล็อกดาวน์” อิตาลีนั้นมีข่าวน่าสะเทือนใจ เมื่อผู้สูงอายุที่เคยขี่จักรยานชมเมืองรู้สึกซึมเศร้า แต่ละวันเห็นรายชื่อคนตายจากโรคระบาดแล้วบอกว่าโควิดไม่น่ากลัวเท่าความเหงา จึงจัดสายด่วนสุขภาพจิต และเมื่อผู้สูงอายุชาวอิตาลีนิยมอยู่ในอาคารชุด ก็มีการส่งเสริมให้คนหนุ่ม-สาวที่อยู่อาคารเดียวกัน เป็นอาสาสมัครส่งสิ่งของที่จำเป็น และเข้าไปพูดคุยกับผู้สูงอายุ
รวมถึงนำภาพยนตร์เก่าๆ มาฉายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งผู้สูงอายุชาวอิตาลีมีทักษะด้านดิจิทัลค่อนข้างดีอยู่แล้ว ส่วนประเทศจีนนั้นเมื่อใช้มาตรการขั้นปิดเมือง ครอบครัวญาติพี่น้องไม่สามารถมาเยี่ยมผู้สูงอายุได้ เกิดความเครียดถึงขั้นอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจีนโดยกรมการสุขภาพ จัดทำคู่มือจิตวิทยาสำหรับผู้ต้องดูแลผู้สูงอายุ มีแผนปฏิบัติการสุขภาพจิต และมีสายด่วนสุขภาพจิต
อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ก็ยังพบข้อจำกัด เช่น เมื่อจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอผู้สูงอายุมักเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าถึงการรักษา การจัดบริการทางดิจิทัลยังเป็นอุปสรรคของผู้สูงอายุในการเข้าถึง รวมถึงผู้สูงอายุที่พึ่งพิงตนเองไม่ได้ก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี