“Scamming (การหลอกลวง)”, “Cyber Bullying (การรังแกกันบนโลกออนไลน์) , Online Gambling (การพนันออนไลน์)”, “Game Addict (ติดเกม)”, “Pornography (สื่อลามกอนาจาร)” เหล่านี้เป็นคำที่คุ้นชินสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบันที่มีชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างโลกจริงกับโลกออนไลน์ สื่อใหม่ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เนตกับเครื่องมือ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเลต โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน เพิ่มความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร ความกว้างของการค้นหาข้อมูลความรู้ แต่ก็นำผลข้างเคียงที่น่าเป็นห่วงตามมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน
ช่วงปลายเดือนก.ย. 2563 ที่ผ่านมา มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสมาคมและวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน จัดเวทีนโยบายสาธารณะ “ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือเพื่อการปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์” ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดย ศรีดา ตันทะอธิพานิช ตัวแทนจากมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนา เปิดเผยผลสำรวจสถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2563
ผลสำรวจดังกล่าวทำร่วมกับศูนย์ประสานงานส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (COPAT) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เก็บข้อมูลระหว่างเดือน พ.ค.-ก.ค. 2563 จาก กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา อายุ 12-18 ปี จำนวน 14,945 คน พบว่า “แม้เด็กและเยาวชนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 89 เชื่อว่าในโลกออนไลน์มีภัยอันตรายหรือความเสี่ยงต่างๆ แต่ถึงกระนั้น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 61 ก็เชื่อว่าหากเผชิญภัยอันตรายจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง” ซึ่งในประเด็นนี้ถือว่าน่าเป็นห่วง
ผลสำรวจยังพบด้วยว่า เนื้อหาที่เป็นอันตรายที่เด็กและเยาวชนเข้าถึงมากที่สุด 4 อันดับแรก คือ ความรุนแรง ร้อยละ 49 การพนัน ร้อยละ 22 สื่อลามกอนาจาร ร้อยละ 20 และสารเสพติด ร้อยละ 16 ขณะที่การเล่นเกมออนไลน์ ส่วนใหญ่เล่นอยู่ที่ 3-10 ชั่วโมงต่อวัน ร้อยละ 30 รองลงมาเล่น 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ร้อยละ 26 ส่วนผลข้างเคียง พบว่า ทำกิจกรรมอื่นๆ ลดลง ร้อยละ 43 ผลการเรียนแย่ลง ร้อยละ 20และความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลง ร้อยละ 13 ขณะที่การใช้อินเตอร์เนต มีจำนวนใกล้เคียงกันคือร้อยละ 26 ระหว่างกลุ่มที่ใช้วันที่ 3-5 ชม./วัน กับ 6-8 ชม.วัน
ขณะที่ พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชครินทร์ กล่าวว่า มี 3 สถานที่ที่คนเราคงไม่อยากเข้าไปหากหลีกเลี่ยงได้ 1.โรงพยาบาล สถานที่ดูแลสุขภาพกาย-สุขภาพจิต 2.โรงพัก สถานที่ดูแลปัญหาสังคม และ 3.โรงรับจำนำ เป็นกลไกในการดูแลปัญหาเศรษฐกิจ “ทั้ง 3 โรงเชื่อมโยงกับผลกระทบจากภัยที่เกี่ยวข้องกับสื่อออนไลน์” และหากไม่มีการป้องกันผลข้างเคียงจากการใช้สื่อออนไลน์ เด็กและเยาวชนย่อมสุ่มเสี่ยงที่ต้องเข้าไปสู่สถานที่ทั้ง 3 ในที่สุด
ทั้งนี้ “องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี รับสื่อผ่านหน้าจอใดๆ ทั้งสิ้น” โดยมีข้อค้นพบว่า “หากเด็กปฐมวัยอยู่กับหน้าจอมากๆ จะมีปัญหาพูดช้าและทักษะสังคม ซึ่งไม่ใช่สมาธิสั้นแต่เป็นสติสั้น”ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้ “พ่อแม่ผู้ปกครองบางท่านอาจเห็นว่าถึงเด็กพูดช้าก็ไม่น่าจะเป็นอะไร” ยิ่งถ้าบุตรหลานเป็นชายก็อาจคิดไปว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะพูดน้อยหรือเปล่า แต่เรื่องนี้น่ากังวลกว่าที่คิด
“การพูดช้าส่งผลต่อระดับสติปัญญา พัฒนาการช่วงปฐมวัยที่สะท้อนว่าโตขึ้นเด็กจะ IQ (ค่าระดับสติปัญญา) ดีไหมหรือกล้ามเนื้อมัดเล็กกับการใช้ภาษา เพราะฉะนั้นการใช้สื่อสังคมออนไลน์เยอะๆ ก็จะทำให้เด็กมีปัญหาพัฒนาการทางภาษา แล้วถ้าใช้เกิน 3 ชั่วโมงต่อวัน ในเด็ก 3 คน จะมี 2 คน ที่มีอาการสมาธิสั้น คืออาการซนเกินไป ใจลอย รอคอยไม่ได้ เคยเห็นเด็กร้องหงุดหงิด อยากจะให้ได้อะไรตามใจตัวเอง นั่นคืออาการที่เราเรียกว่าสมาธิสั้น” ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชครินทร์ อธิบาย
คำถามต่อมา “ในเมื่อสื่อออนไลน์เป็นของไม่ดีสำหรับเด็กเล็กแล้วทำไมถึงยังเห็นเด็กเล็กใช้?” คำตอบนั้นไม่ต้องคิดให้ยาก “ก็เพราะผู้ใหญ่ใช้เวลาแต่ละวันหมดไปมากกับสื่อออนไลน์ให้เด็กเห็น” อนึ่ง การที่เด็กปฐมวัยหรือเด็กเล็กมีปัญหาพูดช้าหรือไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทำให้แยกแยะได้ยากว่ามีอาการออทิสติก (Autistic) หรือไม่ “สื่อออนไลน์ทำให้เด็กเล็กมีอาการออทิสติกเทียม” หลายกรณีจิตแพทย์แนะนำให้พ่อแม่ปิดสื่อออนไลน์ พบว่าผ่านไป 6 เดือน เด็กมีอาการดีขึ้น เพราะเด็กไม่ได้เป็นโรคจริงๆ แต่สื่อออนไลน์ทำให้เด็กมีอาการคล้ายว่าเป็น
จากเด็กเล็กหรือปฐมวัย เมื่อเข้าสู่วัยเรียน สิ่งที่พบคือ “สมาธิสั้นเทียม” เด็กที่ใช้สื่อออนไลน์ถี่ๆ บ่อยครั้งจะพบว่ามีอาการอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เพิ่มขึ้น 1-2 เท่า “ขนาดเด็กสมาธิสั้นจริงก็ยังมีข้อจำกัดในการรักษา เพราะจิตแพทย์เด็กในประเทศไทยมีเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น ยิ่งเพิ่มเด็กสมาธิสั้นเทียมเข้าไปอีกยิ่งลดโอกาสที่ผู้ป่วยตัวจริงจะได้รับการรักษา” แล้วสารพัดปัญหาก็จะมาเกิดพร้อมๆ กันเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
“ในเด็กที่มีปัญหาเครียด-เศร้า-สั้นจะโตมาเป็นวัยรุ่นที่เสพ-เซ็กซ์-ซ่า เสพก็สารเสพติดทั้งหลาย เหล้า บุหรี่ ในปัจจุบันรวมถึงพฤติกรรมเสพติดเกมด้วย การพนันก็เป็นพฤติกรรมเสพติด ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเสพติดการช็อปปิ้ง เรามีโรคที่เรียกว่ากลุ่มพฤติกรรมเสพติด อันนั้นคือกลุ่มเสพ-เซ็กซ์-ซ่า เสพ พฤติกรรมทางเพศ พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง มาจากเครียด-เศร้า-สั้น เครียดซึมเศร้าจนฆ่าตัวตาย แล้วก็ปัญหาสมาธิสั้น ของเหล่านี้เป็นของที่ตามมาจากสมาธิสั้น” พญ.ดุษฎี ระบุ
พญ.ดุษฎียังยกตัวอย่างโฆษณา “จน-เครียด-กินเหล้า” มาอธิบายผลกระทบ “ผู้ใหญ่เครียดไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์..เด็กเครียดไปหาเกมและสื่อออนไลน์” เกมและสื่อออนไลน์ถูกวางไว้ในฐานะยาคลายเครียดแต่ก็มีผลข้างเคียงจากการใช้ ซึ่งเคยมีผลการศึกษาพบเด็กที่ใช้สื่อออนไลน์ไปนานๆ จะมีอาการซึมเศร้าได้ ซึ่งจิตแพทย์เป็นเพียงคนที่อยู่ปลายทางรอทำการรักษา
อย่างไรก็ตาม สื่อออนไลน์ก็ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ เช่นเดียวกับมีดที่มีความคมแต่ก็เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และผู้ใหญ่คงไม่ยื่นมีดให้เด็กโดยไม่สอนว่ามีดนั้นบาดมือได้ จึงเป็นหน้าที่ของสังคมไทยที่จะต้องแนะนำเด็กและเยาวชนว่าจะใช้เครื่องมือให้เกิดประโยชน์และไม่ทำให้ตนเองบาดเจ็บได้อย่างไร!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี