ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 นายพิเชษฐ โตนิติวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท มนัสไรซ์ เทรดคิง จำกัด หรือโรงสีศิริภิญโญ ซึ่งถูกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ฟ้องต่อศาลปกครองในข้อหา "สัญญาทางปกครอง" ได้ทำคำให้การโต้แจ้งคำฟ้องและคำแถลงของผู้ฟ้องคดี เพื่อยืนยันต่อศาลว่าผู้ฟ้องคดีมีคำฟ้องลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 และคำแถลงลงวันที่ 5 กันยายน 2553 โดยข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนถูกต้องตรงตามความเป็นจริง อันถือเป็นการฟ้องเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี
โดยนายพิเชษฐ ได้ให้ข้อมูลเหตุแห่งคดีนี้ว่า เกิดจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 ได้มีมติให้กำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกเหนี่ยวในราคาตันละ 9,000 บาทที่ความชื่น 15% เพื่อการแก้ไขปัญหาราคาช้าวเปลือกเหนี่ยวตกต่ำเป็นเหตุให้ชาวนาไม่พอใจและรวมตัวร่วมชุมนุมเรียกร้องราคาที่ต้องการโดยให้รัฐมาช่วยรับซื้อในราคาตันละ 8,000 บาทไม่หักค่าความชื้นด้วยการปิดถนน เพราะหากยอมรับราคาตันละ 9,000 บาทตามมติ ครม. 13 พฤษภาคม 2551 รายได้ที่รับจริงจะเหลือเพียงตันละ 6,000-7,000 บาทเท่านั้น
จากเหตุดังกล่าวในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 ทำให้ชาวนาในจังหวัดชียงรายรวมตัวปิดถนนที่ อ.พาน เนื่องจากไม่พอใจ รัฐบาลในขณะนั้นจึงมอบหมายให้อธิบดีกรมกรมการค้าภายในไปทำการเจรจากับชาวนาจนได้ข้อสรุปว่าให้รัฐไปหาโรงสีมาช่วยรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวในราคาตันละ 8,000 บาทไม่หักค่าความขึ้นตามราคาที่ชาวนาเรียกร้อง ประกอบกับมติ ครม.วันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ได้มติให้กรมการค้าภายในและ ธ.ก.ส. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา กรมการค้าภายในและ ธ.ก.ส.ดำเนินการติดต่อโรงสีต่างๆ ที่ทำการค้าปกติในการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากชาวนาเพื่อให้ช่วยรับซื้อข้าวเปลือกในราคาตันละ 8,000 บาท ไม่หักค่าความชื้น แต่ปรากฎว่าไม่มีโรงสีใดให้ความร่วมมือ เพราะมีความเสี่ยงสูงและรายได้จะไม่คุ้มกับการลงทุน
ต่อมานายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติในขณะนั้น จึงได้เรียกประชุมโรงสีต่างๆ ที่ทำการค้าปกติในการรับซื้อข้าวจากชาวนาด้วยตนเอง ทำให้โรงสีศิริภิญโญ ซึ่งเป็นโรงสีรายหนึ่งที่ทำการปกติในการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากชาวนาได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งทางโรงสีศิริภิญโญ ได้นำเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมว่าจากความรู้ความสามารถจากประสบการณ์ที่ได้ทำการค้าข้าวเปลือกเหนียวจากชาวนามาโดยตลอด เพราะหากปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดราคาข้าวจะขึ้นและลง เป็นวงจรทุกๆ 3 ปีผันแปรไปตามการปริมาณข้าวสารเหนียวที่สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ และจะมีเพียง 3 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน ที่รัฐสามารถทำการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐได้
ดังนั้น หากรัฐต้องการให้มีการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวในราคาตันละ 8,000 บาทข้าวสดไม่หักค่าความชื่นตามที่ชาวนาเรียกร้อง รัฐจะต้องหาคำสั่งซื้อข้าวสารเหนียวจากต่างประเทศในราคา FOB 800 เหรียญสหรัฐ จำนวน 20,000 ตัน และให้วงเงินกู้จาก ธ.ก.ส.จำนวน 366 ล้านบาทแก่โรงสีศิริภิญโญ เพื่อใช้ในการหมุนเวียนรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจำนวนประมาณ 40,000 กว่าตัน ทางโรงสีศิริภิญโญก็จะสามารถช่วยเหลือทางราชการโดยจะเข้ารับซื้อข้าวเปลือกเหนียวนั้นได้ ทั้งนี้ โรงสีศิริภิญโญ จะมีรายได้เพียงพอ สำหรับต้นทุนในการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวและค่่ใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยไม่หวังผลกำไร
ปรากฏว่าในช่วงเย็นวันเดียวกันนั้นชาวนา จ.เชียงรายได้ปิดถนนที่ อ.พาน อีกครั้งเพื่อทวงถามการแก้ไขปัญหาจากรัฐตามที่ให้สัญญาไว้ว่าจะให้คำตอบภายใน 7 วันซึ่งถึงกำหนดแล้วแต่รัฐยังไม่ได้ให้คำตอบ ดังนั้น ในเช้าของวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากอธิบดีกรมการค้าภายในให้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยรองนายกฯ ได้ขอร้องให้ทางโรงสีศิริภิญโญ ช่วยเข้ารับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากชาวนาในราคา 8.000 บาทต่อตันโดยไม่หักค่าความชื้น ตามที่ได้นำเสนอต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 เพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรชุมนุมปิดถนนที่ อ.พาน จ.เชียงราช โดยรองนายกฯ ให้สัญญาว่ารัฐบาลจะหาคำสั่งซื้อข้าวสารเหนียวจากต่างประเทศจำนวน 20,000 ตันๆ ละ 800 เหรียญสหรัฐ FOB และให้วงเงินกู้จาก ธ.ก.ส.จำนวน 366 ล้านบาทตามที่โรงสีศิริภิญโญ ได้นำเสนอมาเบื้องต้นเพื่อยุติการชุมนุมปิดถนนของเกษตรกรและจะเป็นการขยายตลาดข้าวเหนียวภายในประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
โรงสีศิริภิญโญ ได้พิจารณาแล้วจึงตัดสินใจให้ความร่วมมือด้วยสำนึกในบุญคุณของชาวนาที่ปลูกข้าวเหนียวมาขายให้โรงสีและเพื่อให้การแก้ปัญหาราคาข้าวเปลือกเหนียวตกต่ำของรัฐบรรลุผล อันเปินการช่วยเหลือทางราชการอีกทางหนึ่ง เสมือนตัวแทนจากรัฐ โดยคาดหวังว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยการส่งออกข้าวสารเหนียวไปยังต่างประเทศนี้จะช่วยให้ชาวนาสามารถขายข้าวเปลือกเหนียวได้ราคาที่ดีมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน
กรณีนี้จึงต้องถือว่า โรงสีศิริภิญโญ เป็นเอกชนผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐให้ดำเนินการเพื่อให้การดำเนินการของรัฐในการดำรงรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนให้บรรลุผลตามที่กำหนดไว้ ด้วยเหตุนี้โรงสีศิริภิญโญ จึงมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามนัยของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ตามมติ ครม.วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 และโรงสีศิริภิญโญ ถือว่าเป็นผู้ประสานนโยบายจากรัฐได้เข้ารับซื้อข้าวเปลือกเหนียวในราคา 8,000 บาทต่อตันจากชาวนาจำนวน 6,321 ราย เป็นข้าวปลือกเหนียว 45,800 ตัน คิดเป็นเงิน 366.4 ล้านบาทโดยตกลงว่าจะจ่ายเงินผ่าน ธ.ก.ส.ให้แก่ชาวนาภายใน 15 วันนับแต่วันที่รับซื้อข้าวเปลือก ซึ่งการเข้ารับข้าวเปลือกเหนียวในราคา 8,000 บาทต่อตัน โรงสีศิริภิญโญ ได้จ่ายเงินสำรองจ่ายค่าข้าวเปลือกเหนียวจากเงินของโรงสีเองประมาณ 42 ล้านบาทจนขาดสภาพคล่องไม่สามารถจ่ายค่าข้าวเปลือกเหนียวจากเงินของโรงสีเอง
ต่อมาได้ทราบว่าคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ประชุมครั้งที่ 7/2551 วันที่ 2 กรกฎาคม 2551 มีมติไม่สมควรอนุมัติงินกู้ให้แก่โรงสีศิริภิญโญ แม้ว่าจะมีมติ ครม.วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ก็ตาม กรณีนี้จึงถือว่า ธ.ก.ส. ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามนัยของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดขอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2529 ละเว้นการปฏิบัติหน้าตามที่ ครม.มอบหมาย ด้วยเหตุนี้โรงสีศีริภิญโญ จึงไม่อาจจะหาเงินเพื่อจ่ายค่าข้าวเปลือกเหนียวแก่ชาวนาตามที่ได้ตกลงไว้
ต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำเสนอจะได้มติ ครม.วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 เห็นชอบให้แก้ปัญหาด้วยการรับจำนำข้าวเปลือกเหนียวกรณีพิเศษกับโรงสีศิริภิญโญ โดยนำข้าวเปลือกเหนียวไปจำนำกับ ธ.ก.ส.ในราคาตันละ 9,000 บาท เป็นข้าวแห้งที่ความชื้น 13.5% คิดเป็นจำนวนข้าวเปลือกเหนียวแห้ง 32,000 ตันเป็นเงิน 288 ล้านบาทและให้โรงสีนำข้าวสารเหนี่ยวซึ่งโรงสีได้ทำการสีแปรสภาพแล้วจำนวน 8,000 ตันมากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรฯ โดยจะให้กู้ไม่เกินร้อยละ 80 ของมูลค่าหลักประกัน
จากที่ 1.รัฐรับเอาข้าวเปลือกเหนียวที่ทางโรงสีศิริภิญโญ ได้รับซื้อจากชาวนาตามมติ ครม.วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ไปเป็นของรัฐในโครงการรับจำนำข้าวเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจาก ธ.ก.ส.ไม่อนุมัติเงินกู้แก่โรงสีศิริภิญโญ 2.รัฐไม่สามารถหาคำสั่งซื้อข้าวเหนียวจากต่างประเทศจำนวน 20,000 ตัน ตันละ 800 เหรียญสหรัฐ FOB ตามที่รัฐบาลได้ตกลงแต่ต้นและ 3.รัฐบาลโดยมติ ครม.เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. สั่งสีแปรสภาพข้าวเปลือกเหนียวที่รับจำนำจากโรงสีศิริภิญโญทั้งหมด จำนวน 17,390.40 ตันจำหน่ายให้กับบริษัท ผู้ซื้อในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในราคา FOB ตันละ 403 เหรียญสหรัฐ กำหนดส่งภายในเดือนธันวาคม 2552 จากการกระทำตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นเหตุทำให้แผนธุรกิจของโรงสีศิริภิญโญในส่วนที่เกี่ยวกับข้าวเปลือกเหนียวที่ทางโรงสีศีริภิญโญได้รับซื้อจากชาวนาจำนวน 6,321 รายเป็นข้าวเปลือกหนียว 45,800 ตันคิดเป็นงิน 366.4 ล้านบาทไม่อาจจะดำเนินการต่อไปตามแผนที่กำหนดไว้ได้ทำให้โรงสีศิริภิญโญที่ได้ดำเนินการในฐานะตัวแทนของรัฐในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกเหนียวตกต่ำจนบรรลุผลได้รับความเสียหาย ซึ่งต้องสำรองเงินจ่ายทั้งค่าข้าวเปลือกเหนียวที่รัฐให้เงินไม่ครบรวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นเงิน 120 กว่าล้านบาท
นายพิเชษฐ กล่าวอีกว่า ตนตัดสินใจไปช่วยรัฐบาลโดยการสลายม็อบชาวนาให้ บอกชาวนาว่าจะรับซื้อในราคาที่ชาวนาต้องการ มันเลยกลายเป็นเรื่องที่โรงสีแห่งหนึ่งไปรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาด้วยการร้องขอจากรัฐบาล ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ตนมีความตั้งใจที่จะให้ทุกอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ในการรับซื้อทุกอย่าง จึงขอเวลาชาวนา 15 วัน เพราะรอ ธ.ก.ส.อนุมัติสินเชื่อ โดยจะทำการโอนเงินให้ชาวนาทุกคนผ่าน ธ.ก.ส. ตนวางระบบให้เรียบร้อย พอครบ 15 วัน ธ.ก.ส.ยังไม่ให้เงินกู้ จนมีเรื่องราวชงเข้าสู่ที่ประชุม ครม. แต่ ธ.ก.ส.ก็ไม่อนุมัติ ตนจึงต้องนำเงินของตัวเองจ่ายไปก่อน 4 วัน 40 ล้านบาท ตนจึงต้องหยุดจ่ายเงินให้ชาวนา พอหยุดจ่ายชาวนาก็เดือดร้อนไปแจ้งความดำเนินคดีกับโรงสีศิริภิญโญว่าโกง ทั้งๆที่เรื่องราวทั้งหมดเราไม่ได้โกง สุดท้ายชาวนาก็ปิดถนนอีกรอบหนึ่ง เรียกร้องให้รัฐบาลหาเงินมาจ่าย จนวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ความเดือดร้อนไปถึงนายกรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ดูแล ธ.ก.ส.มาดูแลเรื่องนี้ เพราะปี .2551 เป็นปีที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้เป็นเจ้าภาพดูแลเรื่องรับจำนำข้าว กลายเป็นกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส.ดูแลโครงการรับจำนำข้าว
"มันเป็นเรื่องประหลาดที่กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส.เป็นเจ้าภาพในโครงการรับจำนำข้าว ชาวนาเชียงใหม่ก็เลยกดดัน ส.ส.ในพื้นที่ประชุมออกมาให้เอาข้าวทั้งหมดที่รับซื้อจากชาวนามาไปเข้าโครงการรับจำนำ แต่ให้ราคาเพียง 9,000 บาท ผมซื้อมาราคา 8,000 บาท อบแห้งเสร็จแล้วราคาจะ 11,500 บาท แต่ให้ผมแค่ 9,000 บาท เพราะฉะนั้นรัฐให้เงินมาจาก ธ.ก.ส.จำนวน 288 ล้านบาท แต่ค่าข้าวเปลือกชาวนาทั้งหมด 366 ล้านบาท ไม่รวมค่าใช้จ่าย คือ การขนส่งข้าวจากเชียงใหม่ไปโรงอบแห้งที่ฉะเชิงเทรา สุดท้ายรัฐบาลจ่ายเงินไม่ครบ ผมจ่ายไปแล้ว 40 ล้านบาท รัฐบาลให้มา 288 ล้านบาทที่เหลืออีกกว่า 40 ล้านบาท ผมก็ต้องมาหาเงินไปจ่ายจนครบ แปลว่าผมหมดไป 80 ล้านบาทรวมค่าขนส่งค่าอบข้าวอีกตกแล้วประมาณ 40 ล้านบาท รวม 120 ล้านบาท ที่ผมจ่ายแทนรัฐบาลไปแล้วรัฐบาลไม่รับผิดชอบ"
นายพิเชษฐ กล่าวว่า สรุปว่าเงินตน 120 ล้านบาทหายไปเลย จึงเสนอไปว่าจะไปหาลูกค้ามาให้รัฐบาล แต่ข้าวที่รัฐบาลยึดไปนั้นมันมี 2 ก้อน คือ ข้าวเปลือกที่ยังไม่ได้สีเป็นข้าวสาร เก็บไว้นานเกือบ 18 เดือน และข้าวสารที่สีแล้ว คุณภาพของข้าว 2 ก้อน จะเหมือนกันได้อย่างไร แต่มติ ครม.อนุมัติออกมาให้ ขายในราคาเดียวกัน เพราะฉะนั้นตนจึงบอกกับลูกค้าจีนว่าตนจะส่งออกไปทั้งหมด ขายได้เท่าไหร่ก็เอาเงินมาคืนรัฐบาลให้หมด เปิดบัญชีกันให้ดูเลยว่าจีนโอนมาเท่าไหร่ คืนรัฐบาลเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการส่งออก ประมาณ 29 ล้านบาท รัฐบาลไม่จ่ายสักบาท ทำให้ตนต้องเก็บเงินไว้ 28 ล้านกว่าบาทที่ลูกค้าจีนโอนเงินมาให้งวดสุดท้าย เพื่อให้โรงสีของตัวเองยังเดินต่อไปได้ ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะรัฐไม่สนใจอะไรเลย หากตนไม่เก็บเงินไว้ ตนอาจจะไม่รอดมาได้ อาจจะต้องเสียเงินให้รัฐฟรีๆ เกือบ 150 ล้านบาท
"ธ.ก.ส.ปิดบัญชีโครงการออกมา ว่ายังขาดเงินอีก 18 ล้านบาท ตามมติ ครม. จึงฟ้องศาลปกครองให้โรงสีศิริภิญโญรับผิดชอบ เพราะถือว่าเป็นตัวแทนขายข้าวให้รัฐ ซึ่งในความเป็นจริง ผมเป็นเพียงผู้ปรับปรุงคุณภาพข้าวและส่งออกข้าวให้เท่านั้น โดยได้อัตราค่าจ้างชัดเจนตันละ 1,500 บาท คนที่เป็นตัวแทนขายให้รัฐคือ ธ.ก.ส.ซึ่งจะต้องเป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายตามที่มติ ครม. กำหนด แต่ ธ.ก.ส.ก็ไม่ยอมลงนามในสัญญา และโยนความผิดมาให้ผม จนสุดท้ายศาลปกครองชั้นต้นตัดสินออกมาแล้วว่า ธ.ก.ส.ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการส่งออกอีก 6 แสนกว่าบาทให้กับผม แต่ด้วยความประมาทของผมไม่ได้รอให้ ธ.ก.ส.ลงนามในสัญญาและตรวจสอบคุณภาพข้าวก่อนส่งไปจีน เพราะฉะนั้นผมจะต้องรับผิดชอบอีก 18 ล้านบาท ผมจึงอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ให้พิจารณาปิดบัญชีโครงการใหม่ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นธรรม"
นายพิเชษฐ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับแนวทางการต่อสู่ต่อไปที่ยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดคือการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเหนียวนาปลังปี 2551 โดย ธกส.เป็นเจ้าภาพไม่ถูกต้องตามหลักสภาวิชาชีพบัญชี ไม่เป็นธรรม เพราะการปิดบัญชีกำไรขาดทุนมียอดขาย มีต้นทุนสินค้า ซึ่งต้นทุนสินค้าที่ทาง ธกส.ปิดบัญชีไม่ได้รวมต้นทุนที่แท้จริง คือเอาแต่ต้นทุนที่รัฐออกเงินมาเพียง 288 ล้านบาทไม่ได้เอาต้นทุนทั้งหมด 366 ล้านบาท ที่มติ ครม.เขียนไว้ชัดเจนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ทั้งหมดมันมีหลักฐานและเป็นหลักฐานที่ตนได้ทำให้ศาลปกครองสูงสุด ซึ่งตนจะต่อสู้เรื่องนี้ต่อไป
"12 ปีผ่านมา ถามว่าราคาข้าวเหนียวมีเสถียรภาพหรือไม่ คำตอบคือไม่มี ราคาข้าวเหนียวก็ยังขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเดิม จนปีที่แล้ว ราคาข้าวเหนียวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ พอมาปีนี้ราคาข้าวเหนียวก็ลงต่ำสุดๆอีกเช่นเคย ต่ำเท่ากับปี 2551 คือ เกวียนละ 6,000 ถึง 7,000 บาท ข้าวสดไม่วัดความชื้น คำถามคือ แล้วรัฐที่อะไรบ้างตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา ใช้เงินงบประมาณจากภาษีประชาชนไปเท่าไหร่ ทำไมถึงไม่ถอดบทเรียนโรงสีศิริภิญโญในการแก้ปัญหาราคาข้าวเปลือกเหนียวตกต่ำ หรือเพราะโมเดลที่โรงสีศิริภิญโญได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั้น ไม่มีเงินทอน ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แบ่งให้กับใครๆ จึงไม่ต้องการใช้บทเรียนโรงสีศิริภิญโญ
ยิ่งวันนี้โรงสีศิริภิญโญยังทำตัวอย่างแก้ไขปัญหาราคาข้าวเหนียวตกต่ำ ด้วยการเป็นโรงสีข้าวตามศาสตร์พระราชา ที่ไม่ใช่สีแต่ข้าวอย่างเดียว ฝึกอบรมบ่มเพาะ เปลี่ยนชาวนาเคมีให้เป็นชาวนาธรรมชาติตามศาสตร์พระราชา ที่ต้องไม่ปลูกข้าวอย่างเดียว ต้องปลูกป่า 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 อย่างบนหัวคันนาและบนโคก หนอง นา ด้วย ในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม ในนามบริษัท ธรรมธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด" นายพิเชษฐ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี