“เยี่ยมยอดรับมือโรคระบาด-ย่ำแย่ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” คือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ด้านหนึ่งสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้จนประเทศไทยถูกยกเป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) จากนานาชาติ แต่อีกด้านหนึ่ง มาตรการที่ถูกนำมาใช้โดยเฉพาะการล็อกดาวน์ปิดกิจการต่างๆ และปิดประเทศ ส่งผลให้มีคนตกงานขาดรายได้จำนวนมาก ในขณะที่การช่วยเหลือ เช่น เงิน 5,000 บาทในโครงการเราไม่ทิ้งกัน มีปัญหาทั้งล่าช้าและตกหล่นจนประชาชนต้องติดตามทวงถาม
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการเวทีสนทนาทางนโยบาย (Policy dialogue) ครั้งที่ 2 “นโยบายสวัสดิการยุคหลังโควิด” โดยสถาบันวิจัยทางสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่ง ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยกตัวอย่าง “กลุ่มคนจนเมือง” ที่ต้องเผชิญสถานการณ์อันยากลำบากในวิกฤติไวรัสโควิด-19 จาก 2 ปัจจัย
อาทิ 1.ขาดรายได้ ผลสำรวจในช่วงดังกล่าวพบว่า ร้อยละ 60.24 รายได้ลดลงเกือบทั้งหมด และมีเพียงแค่ร้อยละ8.55 เท่านั้นที่รายได้เท่าเดิมก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาด 2.ขาดสวัสดิการ กลุ่มคนจนเมืองร้อยละ 31.11 ไม่มีสวัสดิการใดๆ ในขณะที่ร้อยละ 33.99 มีเพียงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขณะที่ประกันสังคมนั้นอยู่ที่ร้อยละ 15.95 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างในสถานประกอบการ)
และร้อยละ 12.98 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 (อดีตลูกจ้างในสถานประกอบการที่ลาออกแต่ยังส่งเงินสมทบต่อไปอย่างต่อเนื่อง) กับมาตรา 40 (ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่เคยอยู่กับสถานประกอบการ หรือเคยแต่ออกจากงานมานานแล้วและไม่ได้ส่งเงินสมทบต่อเนื่องตามมาตรา 39) นอกจากนี้การกำหนดให้ต้องลงทะเบียนรับความช่วยเหลือผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยและการศึกษาน้อยเข้าไม่ถึง
ส่วนมาตรการที่รัฐควรดำเนินการในระยะยาว ประกอบด้วย 1.มีฐานข้อมูลระบบแรงงานนอกระบบ ที่ครอบคลุมและทันสมัย 2.ศึกษาเกี่ยวกับสวัสดิการแรงงานนอกระบบ ซึ่งจะปรับปรุงสวัสดิการที่มีอยู่ให้ทั่วถึงได้อย่างไร 3.การเข้าถึงสินเชื่อกลุ่มที่มีรายได้น้อย ในรูปแบบของกองทุน 4.แก้ปัญหาการเข้าถึงออนไลน์ ด้วยการขจัดจุดอ่อนของการจัดสวัสดิการบนฐานเทคโนโลยีออนไลน์ และ 5.จัดลำดับความสำคัญใหม่ สมควรหรือไม่กับการใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าจะคำนึงถึงคนที่จำเป็นกว่า
ขณะที่ ธนสักก์ เจนมานะ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเป็นห่วงเรื่อง“หนี้สาธารณะ” ปัจจุบันเพดานของประเทศไทยตั้งไว้ที่ร้อยละ 60ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ประเทศ ซึ่งในปี 2564คาดว่าไทยจะมีหนี้สาธารณะถึงร้อยละ 58 ของ GDP หรือเกือบชนเพดาน และสิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากหนี้สาธารณะคือภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้รัฐที่จะนำไปใช้จ่ายกับสวัสดิการอื่นๆน้อยลง ทั้งนี้ วิกฤติไวรัสโควิด-19 จึงทำให้เห็นว่าการทำงานเชิงนโยบายเศรษฐกิจและสังคมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
โดยการใช้เงินที่กู้มาในช่วงวิกฤติสามารถใช้ได้หลายแบบแต่ในปัจจุบันรัฐไม่สามารถให้เหตุผลที่สมควรแก่ระดับความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อีกต่อไป ซึ่งการลดความเหลื่อมล้ำนั้นต้องแก้ปัญหาและสร้างความยุติธรรมทางการคลัง เช่นการขยายนโยบายระบบสวัสดิการให้เท่าเทียมและครอบคลุมมากขึ้น หรือการปฏิรูประบบภาษีของไทย และรัฐควรใช้เครื่องมือรักษาเสถียรภาพอัตโนมัติ ดีกว่าระบบการใช้นโยบายแบบดุลยพินิจ เนื่องจากที่ผ่านมาชัดเจนว่ารัฐบาลไม่รู้จักประชาชน
มุมมองจากภาครัฐ นันท์นัดดา ฤทธิ์มนตรี ผู้อำนวยการกองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ กล่าวว่า การคุ้มครองทางสังคมมีทั้งหมด 3 ระบบใหญ่ ได้แก่ 1.ช่วยเหลือ(Assistant) การช่วยเหลือคนยากจน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อเกิดเหตุแล้ว 2.ป้องกัน (Prevention) เป็นระบบที่รัฐกำลังพัฒนา คือการทำอย่างไรเมื่อเกิดวิกฤติเกิดขึ้น จะต้องมีระบบรองรับให้กับกลุ่มคนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน
และ 3.ส่งเสริม (Promotion) คือการให้ความสำคัญกับเรื่องการลงทุนกับมนุษย์ เช่น ด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพ ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ระบบในประเทศไทยยังมีปัญหาเกี่ยวกับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งทุกคนมีความเท่าเทียมกันและสมควรที่จะได้รับการดูแลในการดำรงชีพเท่ากัน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดหาทรัพยากรให้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตตามมาตรฐานขั้นพื้นฐานได้
อีกด้านหนึ่ง ปราชญ์ ปัญจคุณาธร นักศักษาปริญญาเอกภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวถึงแนวคิด “การประกันรายได้พื้นฐาน (Universal Basic Income :UBI)” ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ โดยรัฐจะแจกเงินจำนวนหนึ่งให้ประชาชนทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข แนวคิดนี้มีการทดลองใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฟินแลนด์ และมีข้อถกเถียงระหว่างฝ่ายคัดค้านที่มองว่า UBI ทำให้คนเกียจคร้านไม่กระตือรือร้นในการทำงาน
กับฝ่ายสนับสนุนที่มองว่า UBI เป็นนโยบายที่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการไม่มาก เป็นการแจกแบบถ้วนหน้าจึงไม่มีใครถูกมองว่าเป็นภาระสังคม และแต่ละคนสามารถเลือกซื้อสิ่งที่เห็นว่าจำเป็นที่สุดสำหรับตนเองและครอบครัวได้ นอกจากนี้แม้คนจะทำงานน้อยลงแต่ก็อาจใช้เวลาที่เหลือกับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ไม่แพ้กันได้ เช่น คนที่แต่เดิมมีเรียนมาน้อยและเมื่อโตขึ้นก็ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน การมี UBI อาจทำให้คนกลุ่มนี้ลดเวลาทำงานลงแล้วนำไปศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ในระยะยาว!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี