“8 พ.ย. 2563” สำหรับชาวเมียนมา นั้นมีความสำคัญเนื่องจากมี “การเลือกตั้งทั่วไปทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น” ซึ่งแม้จะมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บรรยากาศทั้งการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ และความตื่นตัวของประชาชนก็เป็นไปอย่างคึกคัก แน่นอนคู่แข่งขันยังคงเป็น 2 พรรคใหญ่ อย่าง “NLD” ที่มีวีรสตรีประชาธิปไตยอย่าง ออง ซาน ซู จี เป็นแกนนำ กับพรรค “USDP” ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนาออนไลน์ เรื่อง “จับตาเลือกตั้งเมียนมา 2020” โดยศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่ง ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายรูปแบบการเมืองของเมียนมาที่เปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการทหาร มาเป็นระบอบที่ผสมผสานกันระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย
กล่าวคือ “ด้านหนึ่งมีการเลือกตั้งและมีพรรคการเมืองร่วมแข่งขันหลายพรรค แต่อีกด้านหนึ่งที่นั่งในสภาจำนวนร้อยละ 25 ของที่นั่งทั้งหมดเป็นโควตาของกองทัพ” เช่น ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ รัฐสภาส่วนกลางของประเทศจะมีทั้งหมด 664 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็น 440 ที่นั่งคือสภาประชาชน ในจำนวนนี้ 330 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 110 ที่นั่ง เป็นโควตาของกองทัพ
เช่นเดียวกับอีก 224 ที่นั่ง คือสภาชนชาติ ในจำนวนนี้168 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 56 ที่นั่ง เป็นโควตาของกองทัพ อนึ่ง ประเด็นสัดส่วนที่นั่งของทหารที่กำหนดไว้ร้อยละ 25 จากที่นั่งทั้งหมดในรัฐสภานั้น ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเมียนมา ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2551 และยังไม่มีการแก้ไข แม้จะมีเสียงท้วงติงเป็นระยะๆ ก็ตาม แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้เสียงในสภาร้อยละ 75 ขึ้นไปจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะที่สภาส่วนท้องถิ่น ซึ่งบางแห่งเรียกเป็นรัฐ เช่น รัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยง หรือเรียกเป็นภาค เช่น ภาคมัณฑะเลย์ ภาคพะโค ก็ไม่ต่างกัน โดยรัฐและภาคเหล่านี้จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาและคณะผู้บริหารในรัฐหรือภาคของตน แต่ก็เช่นเดียวกันคือร้อยละ 25 ของที่นั่งในสภาประจำรัฐหรือภาคยังถูกกันไว้เป็นโควตาของกองทัพ จะมีที่ไม่เหมือนกันบ้างคือสภาระดับรัฐและภาคจะมีเพียงสภาเดียว ส่วนระดับประเทศเป็น 2 สภา
หากเปรียบเทียบ 2 พรรคใหญ่ อย่าง USDP และ NLD ที่เคยได้เป็นรัฐบาลมาแล้วพรรคละครั้ง “ในการเลือกตั้งปี 2553 พรรค USDP ได้รับชัยชนะ และ เต็งเส่ง ซึ่งเป็นนายทหารยศพลเอก ได้เป็นประธานาธิบดี” ยุคนี้ข้าราชการประจำตามกระทรวงต่างๆ จะมีบทบาทในการบริหารประเทศ ประกอบกับมีสัดส่วนของทหารในรัฐสภา และมีทหารอีกบางส่วนลงสู่สนามเลือกตั้งอย่างเต็มตัว ยุคของ ปธน.เต็งเส่งจึงเป็นยุคของนักบริหารมืออาชีพ มีความเป็นข้าราชการในระบบอยู่แล้ว งานต่างๆ จึงเดินไปได้ไม่มีปัญหา และเป็นการบริหารจากบนลงล่าง (Top-Down)
ต่อมา “ในการเลือกตั้งปี 2558 พรรค NLD เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง” แม้ตัวของ ออง ซาน ซู จี จะไม่สามารถดำรงตำแหน่ง ปธน. ได้ด้วยตนเองเพราะ รธน. กำหนดข้อห้ามกรณีเป็นบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็มีการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่คือมนตรีแห่งรัฐ ซึ่งแม้ในทางกฎหมายจะมีอำนาจเป็นอันดับ 2 รองจาก ปธน. แต่ในทางปฏิบัติพบว่าเป็นตำแหน่งที่มีบทบาทอย่างมากในการบริหารประเทศ
อย่างไรก็ตาม การที่สมาชิกพรรค NLD ส่วนใหญ่เป็นนักกิจกรรมทางการเมืองที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย หลายคนเคยถูกจำคุก แม้แต่ ออง ซาน ซู จี ก็เคยถูกกักขังในบ้านพักของตนเอง แต่เมื่อพรรค NLD มีอำนาจปกครองประเทศ ออง ซาน ซู จี ได้พยายามดึงพรรคพวกที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกันให้มาเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงต่างๆ ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐประจำก็มีความพยายามโยกย้ายเอาคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพรรค NLD ให้มาอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ สิ่งที่พบคือรัฐมนตรีประจำกระทรวงเหล่านี้ไม่ใช่นักบริหารมืออาชีพ จึงมีปัญหาด้านการทำงาน
ผศ.ดร.ดุลยภาคกล่าวต่อไปว่า “รัฐบาลพรรค NLD ประสบปัญหาในเรื่องของ Governance System (ระบบการบริหารภาครัฐ) ในลักษณะที่หลายคนเปรียบเทียบว่ายังตกเป็นรองรัฐบาลเต็งเส่ง” ส่วนคำถามที่ว่า “หลังการเลือกตั้งครั้งนี้รัฐบาลเมียนมาจะมีลักษณะหน้าตาเป็นแบบใด”ก็คิดว่ามีอยู่ 3 ฉากทัศน์ คือ 1.พรรค NLD ชนะเลือกตั้งและได้เสียงข้างมากในสภาแบบท่วมท้นเหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 แบบนี้จะทำให้พรรค NLD ยังคงมีอำนาจในฐานะแกนหลักจัดตั้งรัฐบาล การบริหารประเทศก็จะเหมือนกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
2.พรรค NLD แม้จะชนะเลือกตั้งแต่ก็ไม่ได้เสียงข้างมากในสภาแบบท่วมท้นเหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 ฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพรรคNLD ก็มีปัญหาบางประการในการบริหารประเทศ ชาวเมียนมาบางส่วนอาจหันไปเลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ทำให้พรรค NLD ต้องไปชวนพรรคการเมืองกลุ่มชาติพันธุ์ หรือพรรคที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนกันมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ต้องแบ่งโควตากันไประหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด
3.พรรค USDP ร่วมมือกับกองทัพชิงจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้เพราะกองทัพมีโควตาในสภาระดับชาติอยู่แล้วร้อยละ 25ของที่นั่งในสภาทั้งหมด ขณะที่พรรค USDP เองก็เชื่อกันว่าเป็นพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจจากกองทัพ อีกทั้งเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่เช่นเดียวกับพรรค NLD โดยฉากทัศน์นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อพรรค USDP ได้ที่นั่งในสภาอย่างน้อยร้อยละ 26 แล้วไปรวมกับโควตาของกองทัพอีกร้อยละ 25 ก็จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งพอดี แต่ฉากทัศน์นี้ก็ไม่ง่ายเพราะระบบเลือกตั้งของเมียนมาเอื้อต่อพรรค NLD มากกว่า
“เมียนมาใช้ระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว เรียกว่าผู้ชนะกินรวบทั้งหมด NLD ได้รับอานิสงส์จากระบบเลือกตั้งแบบนี้ การเลือกตั้ง 1990 (2533) 2012 (2555) 2015 (2558) NLD ได้อานิสงส์แบบนี้หมดเลย นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่การเลือกตั้งแบบสัดส่วน หมายถึงในเขตเลือกตั้งหนึ่ง NLD อาจจะชนะมีคะแนนเสียงเหนือพรรคคู่แข่งแบบหายใจรดต้นคอ เบียดกันสูสีมาก แต่เวลาคิดตัดเป็นที่นั่งในสภา NLD ได้ทั้งหมด เป็นผู้ชนะกินรวบ สมมุติหลายเขตเลือกตั้งชนะคู่แข่งอย่างละเล็กละน้อย ก็ได้ที่นั่งในสภา” ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
ทั้งนี้ ความท้าทายที่รอคอยรัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมา ได้แก่ “การระบาดของไวรัสโควิด-19” ซึ่งก็ทำให้การเลือกตั้งในบางพื้นที่ต้องถูกเลื่อนออกไปด้วย “ท่าทีต่อชาวโรฮีนจา” ในขณะที่นานาชาติตำหนิผู้มีอำนาจในเมียนมาอย่างรุนแรง ชาวเมียนมาส่วนใหญ่กลับพอใจกองทัพที่ดำเนินนโยบายขับไล่คนกลุ่มนี้ จนต้องหนีข้ามพรมแดนไปยัง บังกลาเทศ ด้วยความที่เมียนมาเป็นสังคมศาสนาพุทธและหวาดกลัวการแผ่ขยายของศาลนาอิสลาม
รวมถึง “การเจรจาสันติภาพ” ระหว่างรัฐบาลกลางเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ขัดแย้งกันมายาวนาน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี