ท่านว่าท่าน (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) ไปอยู่ประเทศพม่าถึง ๕ ปี จนพูดภาษาพม่าได้คล่องปากคล้ายกับภาษาของตัว เหตุที่ท่านจะได้กลับมาไทยเราเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นกับอังกฤษเข้าไปวุ่นวายในเมืองพม่าเต็มไปหมด ไม่ว่าในเมือง บ้านป่า ภูเขา พวกทหารอังกฤษไปเที่ยวค้นจนหมด เพราะคนอังกฤษเคียดแค้นคนไทยมากเวลานั้น หาว่าเข้ากับญี่ปุ่น ถ้าค้นพบคนไทยไม่ว่าหญิงชายและนักบวชจะฆ่าทิ้งให้หมดไม่มีข้อยกเว้น
ชาวบ้านที่ท่านอาศัยเขาอยู่ รู้สึกเขาเคารพเลื่อมใสและรักท่านมาก พอเห็นทหารอังกฤษมาเที่ยวจุ้นจ้านมาก กลัวท่านจะไม่ปลอดภัย พวกเขารีบปรึกษากัน พาท่านไปซ่อนอยู่ในเขาลึกที่พวกทหารอังกฤษไม่สามารถค้นพบ
แต่ทราบว่า เขามาพบท่านเข้าวันหนึ่งเหมือนกัน ขณะที่กำลังนั่งอนุโมทนาให้พรชาวบ้านอยู่ พวกชาวบ้านหน้าเสียไปหมด เขาไต่ถามท่านก็บอกว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้ว ท่านมิได้เกี่ยวกับการบ้านเมือง ท่านเป็นพระ ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเลย
พวกชาวบ้านก็ช่วยพูดกันอย่างเต็มที่ด้วยเหตุผลว่า พระท่านมิเกี่ยวกับการสงครามแบบฆราวาส จะมาเกี่ยวข้องเอาเรื่องเอาราวกับท่านนั้นไม่ถูก ถ้าเอาเรื่องกับท่านก็เท่ากับทำลายหัวใจของคนชาวพม่าซึ่งไม่มีความผิด ให้เกิดความเสียหายโดยใช่เหตุ นับว่าทำไม่ถูกอย่างยิ่ง ประการหนึ่งท่านมาอยู่ที่นี่แต่ก่อนสงคราม ท่านไม่รู้เรื่องอะไรกับการบ้านเมืองอะไรเลย แม้คนพม่าเองยังไม่เห็นว่าท่านเป็นภัยแก่ประเทศ ทั้งที่ประเทศพม่ากำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม ถ้าทำลายท่านก็เท่ากับทำลายคนพม่าทั้งประเทศด้วย ชาวพม่าไม่เห็นดีด้วยในการทำเช่นนั้น
ทหารอังกฤษหลายคนยืนพูดกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับเรื่องท่าน จากนั้นเขาก็แนะว่าให้รีบพาท่านหนีจากที่นี่เสียโดยเร็ว เดี๋ยวพวกอื่นมาจะลำบาก บางทีเขาไม่ฟังคำขอร้อง ท่านอาจเป็นอันตรายได้
องค์ท่านเอง ขณะเขาจับจ้องมองดูด้วยท่าทางเป็นศัตรู ท่านมีแต่เจริญเมตตาและระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาผ่านไปแล้ว ญาติโยมก็พาท่านไปส่งและพาไปอยู่ในภูเขาที่ลึกลับไม่ให้เขาค้นพบ ไม่ให้ท่านลงมาบิณฑบาต พอถึงเวลาชาวบ้านพากันแอบเอาจังหันไปถวายท่าน
นับแต่วันนั้นผ่านไป ทหารอังกฤษมากวนเรื่อย ถ้าพบท่านเห็นท่านคงทำลายจริง ๆ เขามาวุ่นวายถามหาท่านวันหนึ่งหลาย ๆ พวก
พวกญาติโยมเห็นท่าไม่ดี กลัวท่านจะไม่ปลอดภัย จึงได้พาท่านไปส่งให้หลบหนีกลับมาเมืองไทยเรา โดยเขามาส่งใส่ทางในป่าในเขาซึ่งเป็นทางปลอดภัย และพวกทหารอังกฤษเข้าไปไม่ถึง เขาบอกทางท่านอย่างละเอียดไม่ให้ปลีกแวะทางเดิมที่เขาบอก แม้ทางจะรกแสนรกก็ให้พยายามไปตามนั้น ทางนั้นเป็นทางเดินเท้าของพวกชาวป่า เขาเดินท่องเที่ยวหากันจนทะลุถึงเมืองไทยเรา
พอเขาบอกทางให้เรียบร้อยแล้ว ท่านก็เริ่มออกเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งไม่ได้หลับนอน ทั้งไม่ได้ฉันอะไรเลย นอกจากน้ำเท่านั้น ทั้งเดินบุกป่าฝ่าเขาแทบเป็นแทบตาย ในป่ามีแต่รอยสัตว์เต็มไปหมด มีเสือ ช้าง เป็นต้น มิได้นึกว่าชีวิตจะรอดพ้นมาได้ นึกแต่ว่าจะตายท่าเดียว เพราะหลงป่าถ้าเดินผิดทางเสียนิดเดียว
ตอนเช้าวันคำรบสี่ราว ๙ นาฬิกา เป็นเรื่องอัศจรรย์เกินคาด ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหนกรุณานำไปพิจารณาเมื่ออ่านพบเรื่องซึ่งกำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
พอท่านเดินไปถึงไหล่เขาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีความเมื่อยหิวอ่อนเพลียเป็นกำลัง คิดว่าจะไปไม่ตลอด เหมือนใจจะขาดในเวลานั้นจนได้ เพราะเดินทางมาได้สามวันกับสามคืนเต็ม ๆ แล้ว ไม่ได้พักนอนและฉันอะไรที่ไหนเลย นอกจากนั่งพักพอบรรเทามหันตทุกข์จากการเดินทางชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
พอมาถึงที่นั้นเกิดความคิดขึ้นมาว่า เราก็เดินทางเสี่ยงความตายมาทุกลมหายใจ จนกระทั่งบัดนี้ก็พอผ่านมาได้ยังไม่ตาย ลมหายใจก็ยังไม่ขาดความสืบต่อ แต่นับแต่ขณะแรกที่เราออกเดินทางมาจนบัดนี้ ไม่เคยเห็นบ้านคนเลยแม้หลังคาเรือนหนึ่ง พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาตประทังชีวิตไว้บ้าง นี่เราเลยจะตายทิ้งเสียเปล่า ๆ จะไม่มีคนมาชุบชีวิตไว้ด้วยอาหารเพียงมื้อหนึ่งบ้างหรือ
เรามาด้วยความลำบากยากเย็นในคราวนี้ ซึ่งไม่มีคราวไหนในชีวิตของเราจะทุกข์มากเหมือนครั้งนี้ ก็เพื่อหลบภัยสงครามอันเป็นเรื่องของความตายที่มนุษย์กลัวกัน แต่แล้วก็จะมาตายเพราะสงครามอดอยากหิวโหย และการเดินทางแบบล้มทั้งยืนนี้หรือ ถ้าเทวบุตรเทวธิดาชั้นฟ้าบนสวรรค์มีดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ และว่าพวกนี้มีตาทิพย์หูทิพย์ มองเห็นได้ไกลจริงดังว่า ก็จะไม่มองเห็นพระซึ่งกำลังจะสิ้นลมตายอยู่เวลานี้บ้างหรืออย่างไร เราเชื่อคำของพระพุทธองค์ตรัสไว้ แต่เทพฯ ทั้งหลายที่เคยได้รับความอนุเคราะห์จากพระมามากต่อมากทั้งครั้งโน้นและครั้งนี้ จะเป็นผู้มีใจอันจืดดำจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าไม่ใจจืดก็ขอได้แสดงน้ำใจให้พระที่กำลังจะตายอยู่ขณะนี้ได้เห็นบ้าง จะได้ชมว่าเทวธิดาเทวบุตรทั้งหลายเป็นผู้มีใจสูงและสะอาดจริง ดังชาวมนุษย์สรรเสริญ (ที่ท่านพูดอย่างนี้ทราบว่าท่านก็เคยมีอะไร ๆ กับพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ขอผ่านไป)
เป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์ บาปมี บุญมี เห็นผลทันตา ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ พอท่านนึกอย่างนั้นจบลงไม่กี่นาทีเลย ขณะที่กำลังเดินโซซัดโซเซไปนั้น ก็ได้เห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งแต่งตัวหรูหราผิดคนชาวป่าอยู่มากราวฟ้ากับดิน กำลังนั่งนิ่งยกเครื่องไทยทานขึ้นจบอยู่บนศีรษะ ข้างทางที่ท่านจะเดินผ่านไปในหุบเขาอันลึก ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ขณะนั้นท่านเกิดความอัศจรรย์ขนลุกซู่ ๆ ไปทั้งตัว ลืมความเมื่อยหิวอ่อนเพลียไปหมด ปรากฏว่าความอัศจรรย์เต็มหัวใจ เมื่อมองเห็นสุภาพบุรุษผู้ใจบุญนั่งรอใส่บาตรอยู่ข้างหน้าห่างกับท่านประมาณ ๔ วา ข้างพุ่มไม้
พอท่านเดินไปถึง สุภาพบุรุษนั้นพูดขึ้นประโยคแรกว่า “นิมนต์พระคุณเจ้าพักฉันจังหันพอบรรเทาความหิวโหยอ่อนเพลียที่นี่ก่อน มีกำลังแล้วค่อยเดินทางต่อไป คงจะพ้นดงหนาป่าทึบในวันนี้แน่นอน”
ท่านเองก็หยุดปลงบริขาร จัดบาตรเตรียมรับบาตรกับสุภาพบุรุษนั้น เสร็จแล้วก็เข้ารับบาตร น่าอัศจรรย์ไม่ว่าข้าวว่ากับหวานคาวทุกชิ้นที่บุรุษนั้นใส่บาตร ขณะที่เทลงในบาตร ปรากฏว่าหอมตลบอบอวลไปทั้งป่าและทั่วพิภพ ข้าวกับก็พอดีกับความต้องการไม่มากไม่น้อย ซึ่งล้วนแต่มีโอชารสอย่างมหัศจรรย์ทั้งสิ้นชนิดบอกไม่ถูก ถ้าพูดมากเขาก็จะว่าโกหก แต่ความจริงได้กลายเป็นความอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตา จนไม่สามารถพูดอย่างไรจึงจะถูกกับความจริงที่ประจักษ์ตาประจักษ์ใจในขณะนั้น
พอใส่บาตรเสร็จท่านถามว่า “โยมมาจากไหน บ้านโยมอยู่ที่ไหน อาตมาเดินทางมาได้สามคืนกับสี่วันนี้แล้ว ไม่เคยเจอบ้านคนเลย”
สุภาพบุรุษนั้นตอบท่านว่า “ผมมาจากโน้น” ชี้มือไปสูง ๆ พิกล “บ้านผมอยู่โน้น”
ท่านถามว่า “ทำไมถึงรู้ว่าพระจะมาที่นี่และมาคอยใส่บาตรถูก”
เขายิ้มนิดแต่ไม่ตอบว่ากระไรเลย จากนั้นท่านก็อนุโมทนาให้พร พอให้พรเสร็จเขาก็พูดเป็นประโยคสุดท้ายว่า “โยมจะได้ลาท่านกลับไปเพราะบ้านอยู่ไกล” ดังนี้ ซึ่งปกติเขาเป็นคนพูดน้อย แต่มีท่าทางองอาจมากผิดคนธรรมดา ผิวกายทุกส่วนผ่องใสมากขนาดกลางคนตามวัย รูปร่างก็ปานกลางไม่สูงนักต่ำนัก กิริยาสำรวมดีมาก
พอเขาลาท่านแล้วก็ลุกจากที่ ท่านพยายามคอยสังเกตเพราะเขาเป็นคนที่ผิดสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเขาเดินออกไปประมาณ ๔ วา ก็ลับกับไม้ต้นหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่โตนัก แล้วหายไปเลย คอยจะผ่านออกไปก็ไม่เห็น ตาจับจ้องคอยดูเท่าไรก็ไม่เห็น ยิ่งทำให้ผิดสังเกต ท่านจึงลุกจากที่นั่งเดินไปดูที่ต้นไม้ที่เขาผ่านไปก็ไม่เห็น มองไปมาที่ไหน ซึ่งถ้ามีคนอยู่บริเวณนั้นต้องเห็นแน่นอน แต่นี่ไม่เห็นเลยแต่บัดนั้น ยิ่งทำให้ท่านผิดสังเกตและเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น บุรุษนั้นทำให้ท่านประหลาดใจมาก
เมื่อไม่เห็นท่านก็กลับมาเริ่มฉันจังหัน ข้าวก็ดีแกงก็ดี หยิบชิ้นไหนขึ้นมามันมิใช่อาหารในเมืองมนุษย์ที่เคยฉันมาธรรมดา ความหอมหวนชวนชื่นและรสชาติเอร็ดอร่อย มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ไปเสียหมด ทั้งข้าวและอาหารหวานคาวล้วนพอดิบพอดีกับความต้องการของธาตุทุกส่วน อะไร ๆ ซึ่งช่างพอดีเอาเสียทุกอย่างไม่เคยพบเคยเห็น
ขณะที่ฉันปรากฏว่าโอชารสของอาหารวิ่งซ่านไปทุกขุมขน ประกอบกับความหิวโหยก็กำลังบีบบังคับอย่างเต็มที่อยู่ด้วย เลยไม่ทราบว่ารสความหิวหรือรสอาหารเทวดากันแน่ อาหารที่สุภาพบุรุษถวายทั้งสิ้นท่านฉันหมดพอดี และพอเหมาะกับความต้องการของธาตุ ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน ถ้าสมมุติว่าอาหารยังเหลืออยู่อีกแม้เพียงเล็กน้อยก็คงฉันต่อไปอีกไม่ได้
พอฉันเสร็จก็เริ่มออกเดินทางด้วยท่าทางแข็งแรงเปล่งปลั่งอาจหาญสุดจะคาด ราวกับมิใช่คนที่กำลังจะสิ้นลมหายใจอยู่ในครู่ก่อน ๆ นั่นเลย ทั้งเดินทางทั้งคิดเรื่องบุรุษลึกลับไปตลอดทาง จนลืมเหน็ดเหนื่อย และลืมระยะทางว่า ยังใกล้ยังไกล เป็นทางผิดหรือทางถูก ลืมสนใจทั้งสิ้น พอตกเย็นก็พ้นดงหนาป่าใหญ่พอดี ตรงกับคำสุภาพบุรุษทำนายไว้ทุกประการ ก้าวเข้าเขตประเทศไทยเราด้วยความปีติยินดีมาตลอดทาง วันนั้นหายความทุกข์ทรมานกายทรมานใจตลอดวัน
เมื่อเข้าถึงเขตไทยอันเป็นแดนที่เกิดของตน จึงเกิดความแน่ใจว่าเรายังไม่ตายสำหรับคราวนี้ ท่านว่าบุรุษนั้นต้องเป็นทวยเทพชาวไตรภพแน่นอน ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบนั้นเลย คิดดูเวลาจากสุภาพบุรุษคนนั้นมาแล้วก็ไม่ปรากฏว่าได้พบบ้านเรือนที่ไหนอีกเลย ทางสายนี้น่าแปลกใจ ซึ่งน่าจะมีหมู่บ้านอยู่บ้างในระหว่างทางอย่างน้อยสักแห่งหนึ่ง เลยทำให้สงสัยไปเสียหมด กระทั่งหนทางเดินเพื่อหลบภัย
การหลบภัยก็หลบเอาเสียจริง ๆ หลบกระทั่งผู้คนไม่เจอ จังหันก็ไม่เจอ หลบจนแทบเจอภัยคือความอดตายถึงผ่านมาได้
ท่านว่าการที่ผ่านความตายและความรอดตายมาได้ครั้งนี้ ทำให้ท่านอดคิดไปในแง่เทวาปาฏิหาริย์ไม่ได้ เพราะทางที่มาล้วนเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ช้าง เสือ หมี งู ชุกชุมมากตลอดเวลา แต่ตลอดทางที่ผ่านมาไม่เคยเจอจำพวกสัตว์ร้ายเหล่านี้เลย นอกจากจำพวกเนื้อที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิตเราเท่านั้น ถ้าอย่างธรรมดาแล้ว ท่านว่าอย่างน้อยต้องเจอในวันหรือคืนหนึ่ง ๆ ถึงห้าจำพวก เฉพาะเสือกับช้างเป็นสำคัญ น่ากลัวจะยังไม่ข้ามวันข้ามคืน ต้องทอดทิ้งร่างกายไว้กับสัตว์ร้ายจำพวกใดจำพวกหนึ่งแน่นอน
แต่ที่ยังผ่านมาได้ราวกับปาฏิหาริย์เช่นนี้จะไม่อัศจรรย์อย่างไร ต้องเป็นเรื่องของธรรมบันดาลหรือเทวาฤทธิ์บันดาลอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างแน่นอน เพราะก่อนจะมา ชาวบ้านก็วิตกห่วงใยด้วยกันทั้งบ้านว่ากลัวเราจะไปไม่รอด อันตรายที่เกิดจากสัตว์มีเสือ ช้าง เป็นต้น แต่เขาก็หาทางหลีกเลี่ยงช่วยเราไม่ได้ ถ้าขืนก็ไม่ได้ คือขืนอยู่พม่าอีกต่อไปก็ยิ่งแน่ต่ออันตรายจากสงครามและทหารอังกฤษ จึงช่วยกันคิดเพื่อแบ่งหนักให้เป็นเบาลงบ้าง โดยส่งเราข้ามเขตอันตรายของมนุษย์กระหายเลือดไปเสีย เพื่ออนาคตของเราที่อาจจะยังสืบต่อไปอีกนาน ถ้าเขาไม่ฆ่าเสียในระยะนี้ จึงได้ฝืนเดินฝ่าอันตรายนานาชนิดมาแทบเอาตัวไม่รอดดังนี้
กรุณาท่านผู้อ่านพิจารณาดู ผู้เขียนได้ยินมาอย่างนี้ไม่กล้าตัดสินเอาคนเดียว แบ่งให้ท่านผู้อื่นได้มีส่วนวินิจฉัยด้วย แต่อดที่จะอัศจรรย์ในเหตุการณ์ไม่ได้ ที่ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปให้เห็นอย่างชัดเจน นับว่าชีวิตธุดงคกรรมฐานของท่านอาจารย์องค์นี้สมบุกสมบันมาก
นอกนั้นยังมีประสบการณ์ปลีก ๆ ย่อย ๆ เรื่อยมา เพราะท่านชอบอยู่แต่ป่าแต่เขาตลอดมา ไม่ค่อยเห็นท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับฝูงชน ท่านอยู่ลึกไม่มีใครกล้าเข้าไปนิมนต์ถึง
พระปฏิบัติสายท่านพระอาจารย์มั่นท่านมักอยู่แต่ในป่าในเขา เนื่องจากองค์ท่านอาจารย์เองพาดำเนินมาและส่งเสริมบรรดาศิษย์ในทางนั้น เท่าที่สังเกตท่านตลอดมา ท่านชอบพูดชมป่าชมเขาประจำนิสัย ที่ท่านชอบอยู่ป่าอยู่เขาตลอดมา ท่านว่าแม้รู้ธรรมมากน้อย หยาบละเอียดเพียงไรก็ชอบรู้อยู่ตามป่าตามเขาแทบทั้งนั้น ไม่ค่อยรู้ธรรม พอให้มีความสงบเย็นเพราะอยู่ในที่เกลื่อนกล่นบ้างเลย แม้ธรรมที่นำมาสั่งสอนหมู่คณะอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากความรอดตายในป่าในเขานั่นแล
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ 12 โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี "เทวดามาใส่บาตรพระอาจารย์ชอบ" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-12.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี