จากรายงานสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนในปี 2561 พบว่า ประเทศไทยมีอัตราเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงติดอันดับที่ 9 ของโลก มีผู้เสียชีวิตจำนวน 22,491 คน หรือคิดเป็น 32.7% คนต่อแสนประชากร โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ
สถิติในปีเดียวกันนี้ พบว่าเด็กและเยาวชนช่วงอายุ 10-24 ปี มีอัตราเสียชีวิตถึง 70.6% โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่จากปัจจัยส่วนบุคคล พฤติกรรมของผู้ขับขี่ ปัญหากายภาพโครงสร้างพื้นฐานของถนน ความไม่เข้มงวดของกฎหมาย เด็กเยาวชนจำนวนมากเข้าถึงการขับขี่รถจักรยานยนต์ในทุกขนาดง่ายขึ้น โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กไบค์ (Big Bike) ทำให้ประเทศไทยมีผู้ขับขี่หน้าใหม่ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ตามท้องถนนมากขึ้น
ทั้งนี้ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ “กฎกระทรวง การขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถพ.ศ. 2563” ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ซึ่งสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ ผู้ที่ต้องการขับขี่จักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบตั้งแต่ 400 CCขึ้นไป หรือที่เรียกว่า “บิ๊กไบค์” ต้องผ่านการอบรมและทดสอบเป็นกรณีพิเศษ ทั้งกรณีผู้ที่เพิ่งขอสอบใบอนุญาตขับขี่ใหม่ และผู้ที่ต่อใบอนุญาตขับขี่เดิมที่มีอยู่แล้ว โดยกฎกระทรวงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า นับจากวันที่เผยแพร่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยในเรื่องนี้ ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่ออกมาเพื่อให้การเกิดอุบัติเหตุจากรถบิ๊กไบค์ลดน้อยลง ขณะเดียวกัน ก็มีการวิเคราะห์ในประเด็นดังกล่าวนี้เช่นกัน ว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้มากน้อยเพียงใด
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต จัดเวทีเสวนา “เยาวชนกับบิ๊กไบค์ในกฎกระทรวงใหม่...ได้หรือเสีย” ขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง
รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย กล่าวถึงรถบิ๊กไบค์ว่า เป็นรถขนาดใหญ่ใช้ความเร็วสูงผู้ขับขี่ที่เป็นเยาวชนต้องใช้ทักษะมากกว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปรูปแบบของการทำใบขับขี่บิ๊กไบค์ต้องแตกต่างทั้งในเรื่องของการอบรม และการทดสอบ ต้องมีขั้นตอนที่เข้มข้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขเชิงระบบ ป้องกันไม่ให้หย่อนยาน พร้อมออกมาตรการควบคุมให้เยาวชนมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัย ฝึกทักษะเรียนรู้กฎจราจร วิธีขับขี่บนท้องถนน
“คนขี่บิ๊กไบค์ต้องยอมรับความจริงว่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงในระดับหนึ่ง ถ้าอยากขับขี่ให้ปลอดภัยต้องวิ่งเหมือนเป็นรถยนต์ อย่าขี่แทรกหรือแซงเหมือนรถคันเล็กควรใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด ต้องตระหนักและมีพฤติกรรม มีทักษะการขับขี่ที่ปลอดภัย มีใบขับขี่ เรียนรู้กฎจราจร การขับขี่มอเตอร์ไซค์ทุกประเภทไม่ใช่แค่ให้ถึงจุดหมาย แต่ต้องมีทักษะหลายอย่างเพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน” รศ.ดร.กัณวีร์ กล่าว
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ยังได้จัดทำโครงการสืบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ จากรถจักรยานยนต์ โดยใช้เทคนิคการสืบสวนเชิงลึก สำรวจ 1,000 ตัวอย่าง ในระยะเวลา4 ปี พบว่า สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุมาจากตัวบุคคลระหว่างคนขับขี่รถจักรยานยนต์และคนขับขี่รถคันอื่นกว่า 90%
สำหรับสาเหตุจากผู้ขับขี่รถจักยานยนต์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ อันดับแรกการคาดการณ์สถานการณ์ที่ผิดพลาด ซึ่งมากที่สุด คิดเป็น 50% รองลงมาคือ การตัดสินใจที่ผิดพลาด ตามด้วยการควบคุมรถที่ผิดพลาด และท้ายสุดคือการเข้าใจผิดพลาด
มีข้อมูลด้วยว่า ผู้ขับขี่รถบิ๊กไบค์ ยิ่งใช้ความเร็วมาก ยิ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง และมีโอกาสรอดชีวิตน้อย เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินแม้ผู้ขับขี่มีทักษะ แต่ถ้าขับขี่ด้วยความเร็วสูงระยะการตัดสินใจหลบหลีกจะแคบมาก ส่วนการแก้ไขปัญหาหรือลดการเกิดอุบัติเหตุต้องเน้นปลุกจิตสำนึกทั้งสองฝ่าย
ทางด้าน นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการขนส่งมวลชนที่ปลอดภัยเป็นธรรม มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้คนหันมาใช้รถจักรยานยนต์กันมากขึ้นว่า สืบเนื่องมาจากปัญหาระบบขนส่งมวลชนที่ไม่ตอบโจทย์ความจำเป็นในการเดินทาง ส่งผลให้ทางเลือกในการเดินทางมีอย่างจำกัด เช่น ต้องเดินทางด้วยรถรับส่งนักเรียนที่ไม่สะดวก หรือทำให้นักเรียนต้องเดินทางโดยใช้จักรยานยนต์แทน โดยเฉพาะการเข้าถึงรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ “บิ๊กไบค์” ที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น
ขณะที่กลไกควบคุมของรัฐเองยังกำกับได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะกฎกระทรวงใบอนุญาตขับขี่ฉบับใหม่ที่ตั้งใจออกมาเพื่อควบคุมปัญหารถบิ๊กไบค์ แต่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ขอใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวที่อาจจะไม่มีประสบการณ์เข้าถึงรถบิ๊กไบค์ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งกลไกของรัฐยังไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มรถขนาดใหญ่ที่มีเครื่องยนต์ตั้งแต่ 250-399 ซีซี ที่ปัจจุบันเป็นที่นิยมของกลุ่มเด็กและเยาวชนเช่นเดียวกัน
“ดังนั้นเพื่อให้ปัญหาเยาวชนกับรถบิ๊กไบค์ได้รับการแก้ไขจริงรัฐจัดการที่ต้นทาง กำหนดนิยามรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ และกำหนดเกณฑ์อายุสำหรับผู้ขอใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ให้สอดคล้องกับขนาดกำลังเครื่องยนต์ (CC) เช่น ผู้ขอใบอนุญาต Big Bike ควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี และไม่ควรให้ผู้ขอใบอนุญาตชั่วคราวมีสิทธิขับรถ Big Bike ได้ รวมถึงกำหนดประเภทใบอนุญาตจักรยานยนต์ในแต่ละขนาดเครื่องยนต์หรือขนาดความจุของกระบอกสูบให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เช่น 110 cc+ 250 cc+ หรือ 400 cc+ ขึ้นไป กฎกระทรวงที่พึ่งออกมาจึงต้องชัดเจนและครอบคลุมเรื่องนี้ด้วย” นายคงศักดิ์ กล่าว
นายวีรวิชญ์ ช้างแรงการ บรรณาธิการบริหาร บริษัทไรเดอร์สคลับแมก จำกัด กล่าวถึงความเหมาะสมในการขับบิ๊กไบค์ของเด็กเยาวชนว่า เรื่องของวุฒิภาวะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก ในเรื่องของการตัดสินใจ ประสบการณ์ ทั้งนี้พบว่าเด็กที่อายุไม่เกิน 20 ปี ค่อนข้างมีความมั่นใจ มีความกล้า ซึ่งหากไม่ปลูกฝังการเรียนรู้อบรมเพื่อที่จะเซฟตัวเองในการขับขี่ก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่ารัฐไทยมีความหละหลวม ไม่คุมเข้มในเรื่องออกใบขับขี่ หากเทียบกับต่างประเทศใบขับขี่ถือว่าขลังมาก กว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายและให้ความสำคัญการฝึกอบรมเพื่อรู้จักการใช้รถให้ปลอดภัย แต่เมืองไทยรัฐกลับเห็นค่ายรถใหญ่ๆที่มีนักทดสอบที่มีศักยภาพแค่มาเปิดงานหรือร่วมกันตัดริบบิ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าหากรัฐเห็นความสำคัญและร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจังก็จะเกิดประโยชน์ให้กับเด็กเยาวชนที่ใช้รถประเภทนี้มาก
“คนไทยมีนิสัยประนีประนอม ทำให้ไม่มีมาตรฐานและไม่ยึดตามกฎหมาย ทั้งที่ในยุคนี้รถถูกออกแบบมาให้ช่วยคนได้มากมายถ้าได้เรียนรู้อบรม และอยากเสนอให้รัฐบาลเอาจริง แก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่น การแยกซีซีรถให้ชัดเจน คนที่จะขี่บิ๊กไบค์ต้องมีประสบการณ์ ระบุไปให้ชัดเจนว่าต้องมีใบขับขี่มาแล้วกี่ปี ผ่านการทดสอบ หรือภาคปฏิบัติมาจำนวนเท่าไหร่” นายวีรวิชญ์ กล่าว
ในส่วนของผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ อย่าง นายฐาปกรณ์ ปิ่นพงศ์พันธ์ เปิดเผยว่า เคยประสบอุบัติเหตุรถบิ๊กไบค์ 3 ครั้ง ซึ่งครั้งที่รุนแรงที่สุด ใช้ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชนประสานงากับรถยนต์ที่วิ่งสวนเลนมาอย่างจัง โชคดีที่รอดชีวิต ประสบการณ์ทำให้รู้ว่าอุบัติเหตุบนท้องถนน สาเหตุหลักมาจากวินัยของผู้ขับขี่ ถ้า
ทุกคนปฏิบัติตามกฎจราจร อุบัติเหตุจะเกิดน้อยมาก
“สังคมอาจมองว่าความเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ผมมองว่าวินัยและทักษะการขับขี่เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ ยิ่งผู้ขับขี่บิ๊กไบค์เป็นเยาวชน ยิ่งต้องเข้มงวดในเรื่องทักษะการขับขี่ ดังนั้นเมื่อรัฐมีนโยบายบังคับใช้ใบขับขี่บิ๊กไบค์ รัฐต้องคัดกรองผู้ขับขี่โดยเฉพาะเยาวชนด้วยการจับมือกับภาคเอกชนหรือศูนย์อบรม
ผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ เพื่อนำทักษะจากการอบรมมาใช้ทดสอบสมรรถนะการขับขี่บิ๊กไบค์ ส่วนสนามสอบภาคปฏิบัติต้องมีถนนรองรับการทดสอบความเร็ว ที่สำคัญเอกสารประกอบการขอใบขับขี่ควรมีใบรับรองการผ่านการอบรม” นายฐาปกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ บิ๊กไบค์นั้นมีเครื่องยนต์ที่แรง ตัวรถมีขนาดใหญ่ผู้ขับขี่จึงต้องมีทักษะการขับขี่สูง มีความชำนาญ ผ่านการฝึกฝน มีประสบการณ์ และมีการตัดสินใจที่ดี นอกจากนี้ ผู้ขับขี่จะต้องมีความระมัดระวัง ไม่ประมาท เพื่อให้การขับขี่เป็นไปอย่างปลอดภัย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกประเภทต้องพึงตระหนักไว้อยู่แล้ว
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว ขอให้เดินทางกันอย่างปลอดภัยครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี