“ประกันสังคม” สวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2533 โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 (สิ้นเดือน ก.ย. 2563) มีผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างประจำสถานประกอบการ) 11,093,914 คน มาตรา 39 (อดีตลูกจ้างประจำสถานประกอบการที่ออกจากงานมาแล้วแต่ยังส่งเงินสมทบต่อเนื่อง) 1,756,819 คน และมาตรา 40 (แรงงานนอกระบบที่ไม่เคยเป็นลูกจ้างสถานประกอบการ หรือเคยแต่ไม่ได้ส่งเงินสมทบต่อตามมาตรา 39) 3,437,629 คน
ในงานสัมมนา “การคุ้มครองลูกจ้างทำงานบ้านและแรงงานในภาคเกษตร” เมื่อเร็วๆ นี้ นันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยอมรับว่าปัจจุบันยังมีแรงงานบางกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึง เช่น แรงงานภาคเกษตรตามฤดูกาลไม่ได้อยู่ประจำทั้งปี ขณะที่กลุ่มลูกจ้างทำงานบ้าน เมื่อปี 2561 สปส. สนับสนุนให้คณะนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปศึกษาครัวเรือนที่มีการจ้างลูกจ้างทำงานบ้าน ประมาณ 6,400 ครัวเรือน จาก 19 จังหวัด
“ผลการวิจัยก็มีนำเสนอมาว่า นายจ้างยังไม่อยากจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน แต่อยากให้ลูกจ้างมีสวัสดิการ 3 อย่าง คือเจ็บป่วย เสียชีวิตและทุพพลภาพ ไปถามลูกจ้างที่ทำงานบ้านก็อยากได้สิทธิประโยชน์ 7 อย่าง ยินดีที่จะจ่ายเงินสมทบด้วยตรงนี้พอมาดูสถิติ 50-50 สำนักงานประกันสังคมก็นำสถิติเหล่านี้มาวิเคราะห์ วิจัยและพูดคุยกัน เราจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์อย่างนี้
เรื่องนี้ก็มาพูดกันลึกอีก เลขาธิการท่านปัจจุบัน ท่านทศพล กฤตวงศ์วิมาน ท่านเป็นลูกหม้อเติบโตมาจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาถึงประกันสังคมท่านก็พยายามให้พวกผมทำงาน ทำอย่างไรจะเอาเข้ามาได้ เราเองบอกว่าอยากจะเป็นประกันสังคมถ้วนหน้า แล้ววันนี้จะถ้วนหน้าได้อย่างไร มุมหนึ่งก็คิดกันว่าคนที่มีรายได้ มีค่าจ้าง ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนแบบไหนรับจากใคร ควรจะกวาดเข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคมทั้งหมดไหม นั่นหมายถึง Definition (คำจำกัดความ) หรือนิยามก็ควรจะต้องเปลี่ยนไปด้วย” นันทชัย กล่าว
ผู้ตรวจฯ สปส. กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ สปส. กำลังอยู่ระหว่างยกร่างแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปีขึ้นไป ที่รับเงินบำนาญชราภาพไปแล้ว ยังสามารถขอส่งเงินสมทบต่อไปเพื่อให้ได้รับสิทธิกรณีเจ็บป่วย เสียชีวิตและทุพพลภาพ ประเด็นนี้มีความท้าทายเนื่องจากตามหลักแล้วผู้สูงอายุเป็นประชากรที่รัฐต้องจัดสวัสดิการการรักษาพยาบาลให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็จะต้องศึกษากันต่อไปว่าจะบริหารจัดการงบอุดหนุนรายหัวอย่างไร
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่พูดคุยกันคือ “จะแก้กฎหมายเปิดช่องสำหรับนายจ้างที่สมัครใจทำประกันสังคมให้กับลูกจ้างทำงานบ้านในบ้านของตนได้หรือไม่” กรณีนายจ้างมีความพร้อมส่งเงินสมทบ ส่วนลุกจ้างทำงานบ้านกรณีเป็นพนักงานของบริษัทรับทำความสะอาดนั้นเข้าสู่ระบบประกันสังคมอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ได้กำชับทีมงานของ สปส. ไปแล้วว่าหากพบนายจ้าง-ลูกจ้างที่ต้องการขึ้นทะเบียน แม้กระทั่งกรณีการจ้างงานคนในครอบครัวเดียวกันแล้วต้องการทำนิติสัมพันธ์ต่อกัน ให้สนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อดึงคนเข้าสู่กองทุนให้ได้มากที่สุด
“วันนี้เราก็อยากได้ผู้ประกันตนเยอะๆ บางทีเราเข้าไปตรวจในสถานประกอบการ เรามองว่าไม่น่าจะมีนิติสัมพันธ์ แต่เราก็สามารถให้คำแนะนำเขาได้ คือการไปตรวจในมุมของผมไม่ได้ไปตรวจจับผิด ควรจะไปตรวจแนะนำ มีแม่คนหนึ่งจ้างลูกจ้างมา 2 คน คนหนึ่งนามสกุลเดียวกับตัวเอง เป็นลูกสาว อีกคนหนึ่งเป็นเพื่อนลูกสาว เราไปบอกว่าลูกสาวไม่ขึ้นทะเบียนไม่ได้ เขาก็ถามว่าราชการให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าคนไทยคนหนึ่ง จบการศึกษาปริญญาตรีมา ทำงานกับแม่ไม่ได้หรือ ถ้าเกิดเราบอกแม่เขาว่าเราต้องให้นิติสัมพันธ์กับลูกเหมือนกับลูกจ้างอีกคนหนึ่ง มันก็สามารถที่จะเป็นลูกจ้างได้”นันทชัย ยกตัวอย่าง
ขณะที่ มนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน กล่าวว่า กฎหมายประกันสังคมฉบับล่าสุดคือ พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558 มาตรา 4 ได้แก้ไขให้รองรับลูกจ้างทำงานบ้านและแรงงานภาคเกษตรแล้ว โดยระบุว่า “ลูกจ้างหมายถึงผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง” ซึ่งจะต่างจากกฎหมายเดิมคือ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 ที่ระบุว่า “ลูกจ้างหมายถึงผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “เนื่องจากแนวโน้มการจ้างงานในปัจจุบัน การจ้างงานตามสถานประกอบการต่างๆ เช่น โรงงาน มีแนวโน้มลดลง” ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดกันต่อไปคือ “จะแก้ไขกฎหมายได้หรือไม่เพื่อให้ประชาชนเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้โดยที่ไม่ต้องเคยเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการมาก่อน” ส่วนจะได้ความคุ้มครองกี่กรณีก็ขึ้นอยู่กับการคำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย
หรือจะเป็น “มาตรา 40 จะเพิ่มเติมในส่วนสุขภาพและเงินทดแทนการขาดรายได้ได้หรือไม่” หากทำได้ก็น่าจะมีผู้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง สปสช.) ที่รัฐบาลใช้งบประมาณอุดหนุนประชาชน 3,800-4,000 บาทต่อคน ก็จะประหยัดไปได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งงบฯ ที่เหลือสามารถไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ หรือนำมาเพิ่มเป็นสวัสดิการประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39และ 40 ก็ได้
อีกด้านหนึ่ง สุจิน รุ่งสว่าง ประธานสมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประกันสังคมมาตรา 40 กรณีมีให้เลือก 3 ระดับ ตามกำลังการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตน แบ่งเป็น “ระดับ 1” คุ้มครอง 3 กรณี คือขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ และค่าทำศพกรณีเสียชีวิต “ระดับ 2” คุ้มครอง 4 กรณี คือ ขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ ค่าทำศพ และบำเหน็จชราภาพ
และ “ระดับ 3” คุ้มครอง 5 กรณี คือ ขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ ค่าทำศพ บำเหน็จชราภาพ และสงเคราะห์บุตร ซึ่งการแบ่งระดับแบบนี้เหมือนเป็นการแบ่งชนชั้นเป็นคนจน คนชั้นกลาง และคนรวย ทั้งที่ประกันสังคมนั้นมีที่มาจากแนวคิดเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะรวมให้เหลือระดับ 3 อย่างเดียว นอกจากนี้จะลดเบี้ยประกันได้หรือไม่ เพราะแม้ระดับ 3 จะจ่ายเพียงเดือนละ 300 บาท แต่หลายคนก็ยังส่งไม่ไหว เช่น ผู้สูงอายุที่ประสงค์จะสมัครเป็นผู้ประกันตน
รวมถึง สุเทพ อู่อ้น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลในฐานะประธานคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ที่ตั้งคำถามไว้ว่า “รัฐควรส่งเงินสมทบในส่วนของรัฐทั้งมาตรา 33 39 และ 40 เท่ากันหรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกันตนทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน” เป็นต้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี