วันที่ 1 ธันวาคม 2563 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ“เครื่องแบบ และ ชุดนักเรียน”คือสิ่งที่ช่วยระบุตัวตนและสังกัด โดยมีเนื้อหาระบุว่า
การสวมใส่เครื่องแบบ (Uniform) หมายถึงการอยู่ภายใต้ข้อบังคับบางอย่าง รวมทั้งเป็นการแสดงตัวว่าตนเองอยู่ภายใต้สังกัดใด เพื่อให้ผู้ที่สวมใส่ มีความเป็นหมู่คณะ มีลักษณะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน รวมทั้งเพื่อให้สามารถแยกแยะผู้คนออกจากกันได้
ลูกชายผมเรียนหนังสือที่ออสเตรเลีย ที่ออสเตรเลียนักเรียนประถม มัธยมทุกคนต้องใส่ชุดนักเรียน จะมีข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างโรงเรียนที่เมืองไทยและออสเตรเลียคือ โรงเรียนต่างๆ ในออสเตรเลียกำหนดรูปแบบของชุดนักเรียนเอง ไม่ได้เป็นชุดนักเรียนเดียว กันทั่วประเทศ และในโรงเรียนเดียวกันก็มีแบบของชุดนักเรียนให้เลือกใส่หลายแบบ ทั้งเสื้อแขนสั้นและแขนยาว กางเกงขาสั้นและขายาว กระโปรงหรือชุดแซก มีเสื้อแจ็คเก็ต มีจั้มเปอร์ มีชุดพละ และนักเรียนประถมศึกษาทุกโรงเรียนต้องสวมหมวก นักเรียนหญิงสามารถใส่ชุดนักเรียนชายได้ คือสวมเสื้อและกางเกงแบบนักเรียนชายได้
สาเหตุที่มีชุดให้เลือกหลายแบ เพราะสภาพภูมิอากาศ ในฤดูร้อนจะร้อนจัด และในฤดูหนาวจะมี 3 ฤดูหนาวซึ่งความหนาวเย็นต่างกัน จากหนาวน้อยไปหนาวจัดเพราะฉะนั้นจึงให้สิทธิ์นักเรียนเลือกใส่ตามความสะดวกและตามสภาพอากาศ ซึ่งข้อเสียอย่างหนึ่งของการที่มีชุดนักเรียนหลายแบบที่ตัวนักเรียนไม่เคยคิดถึง แต่พ่อแม่ผู้ปกครองรับรู้คือ ค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดนักเรียนก็สูงตามมา และอย่าลืมว่าเด็กโตไว บางช่วงอายุ เพื่งซื้อชุดนักเรียนใส่มาได้ไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยน และมันไม่ได้มีแค่แบบเดียว
ส่วนเรื่องทรงผมนั้น ไม่มีการบังคับ ใครจะไว้ผมยาวสั้นอย่างไรก็ได้
ที่น่าแปลกใจสำหรับเราที่เป็นคนไทยคือ พอไม่มีการบังคับเรื่องทรงผม เด็กๆ ก็ไม่มีความต้องการจะแหกกฎ เด็กนักเรียนชายกว่า 90% ไว้ทรงปกติธรรมดา อีก 10% คือนักเรียนที่ชอบความเท่ห์ จะไว้ผมยาวไปเลย ส่วนเด็กเกเรแบบจิ๊กโก้จะไว้ผมสั้นติดหนังหัวแบบสกินเฮด
สมัยผมเป็นนักเรียน ก็มีอารมณ์ต่อต้าน และพูดตามๆ กันไป ว่าการแต่งตัวของนักเรียน ผมยาวหรือสั้น แต่งชุดนักเรียนถูกระเบียบหรือไม่ มันส่งผลอะไรต่อผลการเรียนเมื่อโตมาแล้วจึงเข้าใจว่า...
คนทุกคนในสังคม และองค์กรทุกองค์กร ทั้งบริษัทเอกชน กระทรวง ทบวง กรม หรือแม้แต่ศาสนาต่างๆ ทุกองค์กรล้วนมีเครื่องแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตน
เราอยู่บ้านจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ แต่เมื่อเราเป็นสมาชิกในสังกัดองค์กรใดๆ เราต้องสวมเครื่องแบบขององค์กรนั้นๆ
มนุษย์เรามีพฤติกรรม 2 แบบคือในแบบที่อยากเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่บางครั้งก็อยากเหมือนคน ลองจินตนาการกันดูว่า พระสงฆ์ ประท้วงไม่ขอหมจีวร ตำรวจ ทหาร ประท้วงไม่ขอสวมเครื่องแบบทหาร ตำรวจ ข้าราชการ อยากใส่ชุดทหาร พนักงานเอกชน อยากใส่ชุดตำรวจไปพบลูกค้า นักเรียนไม่อยากแต่งชุดนักเรียนไปโรงเรียน
ถ้าในโรงเรียนไม่มีใครใส่เครื่องแบบนักเรียน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เด็กที่มาใช้สถานที่และอุปกรณ์ของโรงเรียนเป็นนักเรียนที่จ่ายค่าเทอมกับโรงเรียนของเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สนามฟุตบอลที่มีเด็กวิ่งเล่นเต็มสนามคือเด็กโรงเรียนเราที่จ่ายค่าเทอม ไม่ใช่เด็กที่อื่นแอบมาใช้สนามฟุตบอลจนเต็ม จนไม่มีที่ไห้เด็กนักเรียนตัวจริงได้เล่น
เมื่อทุกคนไม่อยากมีเครื่องแบบเพื่อประกาศตนว่าตนเองอยู่สังกัดองค์กรใด...
เราอาจจะเห็น...พระสงฆ์มีคิวใส่กางเกงยีสต์บิณฑบาต ข้าราชการในอำเภอใส่เสื้อกล้าม เซลล์แมนใส่ชุดคล้ายตำรวจเรียกตรวจใบขับขี่ ตำรวจใส่กางเกงขาสั้นลากแตะเขียนใบสั่งปรับเงินเรา คนที่ไม่ใช่อาจารย์อยู่ในโรงเรียน คนที่ไม่ใช่นักเรียนอยู่ในโรงเรียน
ความเป็นระเบียบ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และที่สำคัญความปลอดภัย คือหัวใจของการสวมเครื่องแบบ ความปลอดภัยของความเป็นทหาร ตำรวจ พระสงฆ์ ครูนักเรียน จะอยู่ตรงไหน เมื่อทุกคนทุกอาชีพสวมรอยกันไปมาเพราะไม่มีเครื่องแบบเฉพาะที่ระบุตัวตนของคนนั้นๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี