วันที่ 3 ธันวาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมพอร์ทอล บอลรูม ชั้น 4 อาคารเพอะพอร์ทอล ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี มีการจัดประชุมชี้แจงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563 โดยสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สคอ.) กรมควบคุมโรค ซึ่ง นายนิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการ สคอ. กล่าวในการเปิดประชุม ว่า ประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. 2563 เป็นต้นไป
สืบเนื่องจากมาตรา 30 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจออกประกาศฉบับนี้ ระบุไว้ชัดเจนว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าไม่ปกติ อันสอดคล้องกับหลักการขององค์การอนามัยโลก (WHO) และการที่กฎหมายออกมาก็เพื่อลดการเข้าถึง เพราะเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ทำลาย (Disrupt) การควบคุมตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่ทั้งการกำหนดอายุขั้นต่ำในการซื้อ การจดทะเบียนผู้ขาย ตลอดจนการกำหนดเวลาและสถานที่ขาย อย่างไรก็ตาม สคอ. พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย
นิพนธ์ ชินานนท์เวช
“มีคนบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ 20 ล้านคน แต่ประเภทดื่มประจำอยู่เกือบ 10 ล้านคน 6-7 ล้านคนที่ดื่มประจำ แล้วก็มีที่ดื่มเป็นครั้งคราว แต่วันนี้ต้องบอกข้อมูลเพื่อให้เกิดความชัดเจนคือปัจจุบันคือมันมีแนวโน้มของเยาวชนที่ดื่มมากขึ้นแล้วเด็กก็อายุน้อยลง ตอนนี้ที่มีการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเด็ก 8-9 ขวบบางที่เริ่มดื่มเพราะพ่อแม่ดื่มแล้วดื่มตาม แล้วรวมทั้งผู้หญิงก็เป็นกลุ่มหลักที่มีอัตราเพิ่มเติมขึ้นของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” นายนิพนธ์ ระบุ
ผอ.สคอ. กล่าวต่อไปว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่มีการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้ประกอบการรายเล็กหรือรายใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการรายใหญ่เมื่อทราบว่าจะมีการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ก็เลิกขายในช่องทางดังกล่าวไป และฝ่ายรายใหญ่เองก็เคยมีคำถามว่าทำไมจับแต่รายใหญ่ไม่จับรายเล็ก ก็ได้ชี้แจงไปว่าจับรายเล็กด้วยเช่นกันหากมีผู้ร้องเรียนเข้าสู่ระบบ ยืนยันว่าดำเนินการทุกกรณี
ขณะที่ ผศ.ดร.บุญอยู่ ขอพรประเสริฐ อาจารย์สาขานิเทศศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก ในฐานะวิทยากรชี้แจงข้อกฎหมาย กล่าวว่า แนวทางของ WHO สนับสนุนให้ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3 ด้าน คือการเข้าถึง การโฆษณา และการเก็บภาษี ซึ่งในส่วนของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 จะควบคุมด้านการเข้าถึงและการโฆษณา แต่การขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อออนไลน์นั้นควบคุมได้ยาก
โดยมีผลการสำรวจ 3 อันดับแรก พบการขายหรือสื่อสารทางการตลาดทางเฟซบุ๊กมากที่สุด ร้อยละ 73.3 รองลงมาคืออินสตาแกรม ร้อยละ 18.6 และทวิตเตอร์ ร้อยละ 4.6 เมื่อแยกประเภทผู้เผยแพร่เนื้อหาด้านการขายหรือสื่อสารการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า เป็นผู้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด ร้อยละ 43.6 รองลงมา ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานบันเทิงที่มีบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 35 อันดับ 3 นักวิจารณ์สินค้า (Review Blogger) ร้อยละ 11.7 และอันดับ 4 ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเป็นทางการ ร้อยละ 9.3
นอกจากนี้ เมื่อแบ่งประเภทเนื้อหา พบอันดับ 1 ร้อยละ 92.9 เป็นการส่งเสริมการดื่ม เช่น การอธิบายสูตร ส่วนผสม ชนิด ฯลฯ ร้องลงมา ร้อยละ 79 เป็นการขายสินค้าโดยตรง อันดับ 3 ร้อยละ 38.4 บริการจัดส่ง และอันดับ 4 ร้อยละ 35.7 การส่งส่งเสริมการตลาด เช่น ลดแลกแจกแถม ซึ่งการซื้อ-ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังจัดส่งไปยังสถานที่ห้ามดื่มได้ด้วย เช่น หอพักนักศึกษา
(ซ้าย) ผศ.ดร.บุญอยู่ ขอพรประเสริฐ , (ขวา) คมสัน โพธิ์คง
ด้าน นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นวิทยากรอีกท่านหนึ่ง กล่าวว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 นิยามการขายไว้ว่า หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ เพื่อประโยชนในทางการค้า ซึ่งกว้างกว่านิยามการขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.แพ่งฯ) ที่การซื้อ-ขายจะเกิดขึ้นจะต้องมีทั้งผู้เสนอและผู้สนอง
เช่น การตั้งเครื่องขายอัตโนมัติและมีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปใส่ไว้ ในเครื่อง ยังไม่เข้าองค์ประกอบการขายตาม ป.แพ่งฯ แต่ใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เป็นการกำหนดพฤติกรรมที่นำไปสู่การขายเพื่อประโยชน์ทางการค้า หรือการเร่ขายที่ผู้ค้านำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปตระเวนขายตามจุดต่างๆ ซึ่งเป็นอีกข้อที่ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 กำหนดเป็นข้อห้าม ตราบที่ยังไม่มีผู้ซื้อก็ยังไม่เข้าองค์ประกอบการขายตาม ป.แพ่งฯ เช่นกัน
นายคมสัน กล่าวต่อไปว่า ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการสั่งปิดสถานบันเทิงรวมถึงห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านค้าต่างๆ ตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำให้มีผู้นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องออกประกาศฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยง่าย และองค์การการค้าโลก (WTO) ก็ยอมรับหากรัฐชาติต่างๆ จะออกมาตรการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน
ทั้งนี้ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563 ที่ออกตามมาตรา 30 (6) ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อธิบายลักษณะความผิดไว้ 1.การขายให้ผู้บริโภคโดยตรง หมายถึงผู้ที่ซื้อมาดื่มเอง แต่ไม่รวมถึงการขายส่ง 2.การขายบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การรับจองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีลักษณะพิเศษ
กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ ชูป้ายคัดค้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ภายหลังจากการชี้แจงข้อกฎหมาย ในห้องประชุมมีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้สอบถามและแสดงความคิดเห็น ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างค่อนข้างดุเดือด เนื่องจากก่อนหน้านี้ เครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายย่อย รวมถึงประชาชนซึ่งมีรสนิยมชื่นชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกาศรวมตัวชุมนุมแสดงจุดยืนคัดค้านกฎหมายดังกล่าว โดยตลอดงานมีทั้งการชูป้ายแสดงสัญลักษณ์โต้เถียงกับวิทยากรทั้ง 2 ท่านในหลายประเด็นอย่างรุนแรง
อาทิ นายธนากร คุปตจิตต์ นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) โต้แย้งในประเด็นนโยบายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เข้าใจคลาดเคลื่อน โดยยืนยันว่า WHO ไม่เคยมีนโยบายลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ที่ถูกต้องคือ WHO มีนโยบายลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นอันตราย และตั้งเป้าหมายว่าต้องลดให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี 2568
ดังนั้นการแก้ปัญหาอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกฝ่ายต้องมาร่วมมือกัน ไม่ใช่มาจัดการแต่กับผู้ค้าขายที่ประกอบอาชีพสุจริต นอกจากนี้ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563 ยังไม่สอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77 ว่าด้วยการปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์หรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ
ขณะที่บรรดาตัวแทนเครือข่ายคราฟท์เบียร์ ตั้งคำถามว่า ผู้ออกกฎหมายเคยสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านหรือไม่ และศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จนเข้าใจหรือไม่ เช่น ในประเทศอังกฤษ ซึ่งกำหนดอายุขั้นต่ำของบุคคลที่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ที่ 20 ปีเหมือนกับประเทศไทย แต่รัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยผู้รับสินค้าต้องยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (National Digital ID) ด้วยจึงจะรับสินค้าได้ ซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็พัฒนาระบบดังกล่าวขึ้นมาแล้ว
นอกจากนี้ กรณีที่ นายคมสัน ยอมรับว่า ในประเทศไทยยังไม่มีบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถให้นิยามของคำว่า “อิเล็กทรอนิกส์” ได้ชัดเจน กฎหมายที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านนี้ไม่ว่าฉบับใดของไทยจึงไม่เคยระบุนิยามไว้ เช่น การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวแทนร้านค้าและผู้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกหลายรายแสดงความเป็นห่วงเรื่องผลกระทบจากการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เพราะความไม่ชัดเจนของข้อกฎหมาย
โดยมีบทเรียนจากมาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ว่าด้วยการห้ามโฆษณา ที่มีประชาชนทั่วไปพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วถูกตีความว่าโฆษณาเป็นจำนวนมาก และวันนี้กำลังมีการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อแก้ไขมาตราดังกล่าวอยู่ พร้อมกับยกตัวอย่างข้อกังวล เช่น หากผู้ซื้อสั่งซื้อทางออนไลน์ในปริมาณมากๆ โดยอ้างว่าซื้อไปจำหน่ายต่อในลักษณะขายส่ง แต่ในความเป็นจริงพบว่าซื้อไปบริโภคเองซึ่งจะเข้าข่ายตามประกาศห้ามขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ขายจะมีความผิดด้วยหรือไม่
หรือผู้ประกอบการรับจัดงานเลี้ยงงานพิธีต่างๆ สั่งซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์เพื่อไปจัดงานเลี้ยงให้ลูกค้าจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ หรือบริษัทจัดจะงานเลี้ยงสังสรรค์ให้พนักงานแล้วสั่งซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ในปริมาณมากๆ ในนามบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ หรือแม้กระทั่งการที่ร้านค้าออกบัตรกำนัล (Gift Voucher) ทางออนไลน์ ให้ลูกค้าใช้แลกสินค้าในร้านได้ทุกประเภทและในร้านก็มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำหน่ายด้วย จะมีความผิดหรือไม่ เป็นต้น
ชูวิทย์ จันทรส นำผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกาศหนุนห้ามขายทางออนไลน์
อีกด้านหนึ่ง นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ซึ่งพากลุ่มผู้พิการที่มีสาเหตุจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาร่วมชุมนุมภายในงานเช่นกัน ประกาศจุดยืนสนับสนุนมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ โดยระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบมากมายต่อสังคมทั้งอุบัติเหตุและความรุนแรง ตนไม่ได้อยากให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หมดไปจากประเทศหรือจากโลก แต่ต้องมาหาจุดร่วมกันว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไรเพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/535727 (3ธันวานี้‘ผู้ประกอบการน้ำเมารายย่อย-นักดื่ม’จ่อบุกที่ประชุม‘สคอ.’ค้านห้ามขายออนไลน์ : 2 ธ.ค. 2563)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี