ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีการโหมประโคมข่าวดังสนั่นหวั่นไหวเกี่ยวกับการลงนามในสัญญาก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ถึง 5 สัญญา เป็นระยะทางรวมประมาณ 110 กิโลเมตร ด้วยค่าก่อสร้างรวมประมาณ 40,000 ล้านบาท
โหมประโคมข่าวกันสนั่นหวั่นไหวว่าการทำสัญญานี้จะทำให้ประเทศไทยเชื่อมเข้ากับเส้นทางรถไฟสายสำคัญของโลก คือ เส้นทางรถไฟความเร็วสูงเส้นทางสายไหมที่จะเชื่อมกับทั่วโลก และจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยครั้งใหญ่ที่สุด
มีการโหมโฆษณาด้วยการทำรูปแบบการเดินรถ รูปแบบของขบวนรถ และความศิวิไลซ์ต่างๆ ตลอดจนผลได้ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการทำสัญญา 5 สัญญานี้ ซึ่งต้องตั้งข้อสังเกตไว้ตั้งแต่ต้นว่าทั้ง 5 สัญญานี้เป็นเรื่องที่การรถไฟแห่งประเทศไทยลงนามกับบริษัทเอกชนของไทยทั้งสิ้น
นอกจาก 5 สัญญานี้แล้วก่อนหน้านี้ก็มีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้เฟสที่ 1 คือจากบ้านกลางดงถึงบ้านปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างเกือบสามปีและเพิ่งแล้วเสร็จลงและมีการอ้างว่าหลังจากการทำสัญญา 5 สัญญานี้แล้วเส้นทางนี้จะแล้วเสร็จในปี 2568 หมายความว่าอีก5 ปีข้างหน้า
ในขณะที่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางสายไหมจากทั่วโลกมายังเมืองคุนหมิงของประเทศจีน และเชื่อมต่อมายังนครเวียงจันทน์ของประเทศลาวซึ่งริเริ่มหลังประเทศไทยเกือบ 1 ปี โดยมีระยะทาง 400 กว่ากิโลเมตร จะแล้วเสร็จและเปิดเดินรถได้ในปี 2564 ซึ่งจะแล้วเสร็จก่อนการก่อสร้างทั้ง 5 สัญญานี้ราว 4 ปี
หมายความว่าชาวโลกสามารถเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางสายไหมมายังประเทศลาวได้ แต่มายังประเทศไทยไม่ได้ จะต้องข้ามแม่น้ำหรือต่อรถยนต์รถไฟกันมาอีกต่อหนึ่ง เพราะถึงแม้การก่อสร้างทางรถไฟ 5 สัญญาที่ว่านี้แล้วเสร็จในปี 2568 ก็เป็นแค่เส้นทางรถไฟในประเทศไทย ไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้เลย
ที่สำคัญคือเส้นทางรถไฟ 5 สัญญา บวกกับอีก 1 เฟส ที่ลงทุนด้วยเงินประมาณ 40,000 ล้านบาท เป็นระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรนั้น เมื่อสิ้นปี 2568 ก็จะเป็นเส้นทางแค่จากโคราชมาถึงบ้านทับกวาง จังหวัดสระบุรี เท่านั้น
ลองนึกกันดูว่าจะมีพี่น้องประชาชนในภาคอีสานหรือแม้จังหวัดข้างเคียงของโคราชจะไปขึ้นรถไฟความเร็วสูงสายนี้ที่โคราชเพื่อมาลงสถานีปลายทางที่บ้านทับกวางหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่มีใครทำเช่นนั้นแน่ เพราะเมื่อลงที่สถานีทับกวางแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนจึงเป็นอันว่าจากโคราชมาทับกวางจะไม่มีผู้โดยสารนั่งมาเลยแม้แต่คนเดียว
ส่วนอีกทางหนึ่ง จากบ้านทับกวางซึ่งจะไปยังโคราชนั้นก็คงไม่มีคนภาคใต้ ภาคกลาง หรือกรุงเทพฯ เดินทางไปขึ้นรถไฟความเร็วสูงที่บ้านทับกวางเพื่อไปลงปลายทางที่โคราชเป็นแน่นอน เพราะจะได้รับความยากลำบากและความไม่สะดวกนานาประการ เพราะโดยสามัญสำนึกของคนปกติก็ย่อมไม่มีใครกระทำเช่นนั้นแน่
ดังนั้น เมื่อสิ้นปี 2568 และประเทศได้จ่ายเงินลงทุนในการสร้างทางรถไฟสายนี้ไปแล้วถึง 40,000 ล้านบาท ก็จะได้มาแค่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงในประเทศจากโคราชมาบ้านทับกวาง ระยะทางแค่ 100 กิโลเมตรเศษ ซึ่งไม่มีทางมีผู้โดยสารและไม่มีทางเดินรถได้
ดังนั้นเงิน 40,000 ล้านบาทที่ลงไปก็จะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน และถ้าจะก่อสร้างทางเชื่อมต่อจากบ้านทับกวางเข้ามากรุงเทพฯ ระยะทางอีก 100 กว่ากิโลเมตร ก็จะต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 100,000 ล้านบาท และไม่รู้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด
ถ้าเทียบเคียงกับระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา 5 สัญญา ที่มีระยะเวลาถึง 4 ปีแล้ว อย่างน้อยๆเส้นทางรถไฟที่จะเชื่อมจากบ้านทับกวางมายังกรุงเทพฯ ก็คงต้องใช้เวลา 4-6 ปี กว่าจะแล้วเสร็จก็ปี 2574-2575 และเมื่อถึงเวลานั้นเส้นทางรถไฟที่สร้างไว้ก่อนคือจากโคราชมาถึงบ้านทับกวางจะชำรุดทรุดโทรมเสียหายไปแล้วสักแค่ไหน และต้องเสียค่าซ่อมบำรุงในระยะเวลาหลายปีดังกล่าวสักเท่าใด
และต่อให้สร้างเสร็จทั้งสายคือจากกรุงเทพฯ-โคราช ซึ่งใช้เงินลงทุนรวม 140,000 ล้านบาทเศษก็เป็นได้แค่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงภายในประเทศจากกรุงเทพฯ-โคราช เท่านั้น ยังห่างไกลและไม่สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางสายไหมจากทั่วโลกที่เชื่อมมาถึงนครเวียงจันทน์ของลาว
และที่สำคัญจะเดินรถในเชิงพาณิชย์ได้คุ้มค่าหรือไม่ เพราะเมื่อแข่งขันกับมอเตอร์เวย์ซึ่งสะดวกกว่า ค่าโดยสารถูกกว่า ใครเล่าจะมานั่งรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-โคราช เมื่อนั้นเงินลงทุน 140,000 ล้านบาท ก็อาจจะเป็นการละเลงละลายแม่น้ำที่สูญเปล่า
หากจะกล่าวในแง่การวางแผนหรือสติปัญญาในการบริหารบ้านเมืองก็อาจกล่าวได้ว่า แผนการสร้างทางรถไฟดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายและสะท้อนถึงความไม่ฉลาดอย่างยิ่ง กระทั่งจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่รัฐ
แค่สร้างสักสถานีเดียวเชื่อมจากหนองคายข้ามแม่น้ำโขงไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงของลาวที่นครเวียงจันทน์ ระยะทางแค่ 16 กิโลเมตรด้วยเงินลงทุนแค่ 30,000 ล้านบาท ก็สามารถเชื่อมประเทศไทยเข้ากับเส้นทางสายไหมทั่วโลกได้แล้ว
ความโง่กับความฉลาดย่อมให้ผลแตกต่างกันดังนี้
สิริอัญญา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี