ชั่วชีวิตคนคนหนึ่ง มีความทรงจำมากมาย หนึ่งในความทรงจำที่ล้ำลึกของพสกนิกรแห่งราชอาณาจักรไทยคือ วันที่พระสุริยสีห์แห่งพระราชาดับแสงลง ในยามบ่ายวันที่ สิบสามตุลาคม สองพันห้าร้อยห้าสิบเก้า ฟ้ามืด แสงหม่นทั่วราชอาณาจักร
ฝนหลวงที่จางหาย
เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ว่าสิ้นแล้วซึ่งในหลวง
เสียงร่ำไห้ก็ระงมไปทั้งหมู่บ้าน
สลับด้วยเสียงสวดละหมาดกับสวดมนต์ดังอึงอล
ทั้งศาลาวัด และ มัสยิดกลางบ้าน
พฤหัสบดีที่สิบสามอันแสนเศร้า
ได้นำเอา อาดูรเทวษ มาสู่พสกอย่างเหลือคณา
เมาะห์ซับน้ำตาด้วยชายฮีญาบ
ผู้อาวุโสสัมผัสถึงความโหวงเหวง ว้าเหว่
บ้างเป็นลมล้มพับลง
กลุ่มเด็กสาว มีดวงตาพร่าแสงเพชร
ยายวัยเจ็ดสิบ ครวญคร่ำ ร่ำถวิลหา
“ไม่มีในหลวงเราจะอยู่กันได้อย่างไร”
ในท้องนาที่ ดินเคยเปรี้ยว
ถูกฟื้นฟูด้วย โครงการ “แกล้งดิน”
และดื่มกินฝนหลวง กว่าสิบครั้ง
วันนี้ นาข้าวตกรวงเหลืองอร่ามแล้ว
พร้อมรับการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย
อาจเป็นครั้งสุดท้าย
เพราะหากนาล่ม ลมร้อนแล้ง ฤดูแล้งหน้า
ฝนหลวงหยาดสุดท้ายก็จางหายไปสิ้นแล้ว
...........................................................
พระองค์ได้สูญเสียไปสิ้นทั้งวัยดรุณอันแจ่มใส และวัยอัสดง ด้วยจำต้องขึ้นครองราชสมบัติแต่ยังเยาว์วัยเจ้าชายน้อย ทรงแบกภาระปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ ด้วยพระปรีชาสามารถ และทศพิธราชธรรม ตลอดรัชกาลอันยาวนานเจ็ดสิบปี
คราใดที่ประหวัดถึง จะเห็นมณีน้ำค้างบนนาสิกของพระองค์ เป็นสัญลักษณ์แห่งการทรงงานหนัก
เจ้าชายน้อย
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว
ยังมีเจ้าชายน้อยสององค์
วัยดรุณแจ่มใส
พำนักอยู่ในประเทศเขตภูเขาข้ามขอบฟ้า
ครั้นเมื่อคราสยามรัฐตกอยู่ในวิกฤติ
แย่งชิงอำนาจรัฐ
โดยเหล่าอำมาตย์แลขุนทหาร
จวนเจียนจะล่มสลาย
ทวยราษฎร์ประหวั่นทั่วขัณฑสีมา
เจ้าชายน้อยองค์เชษฐามิอาจขัดเหล่าอำมาตย์
อัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์ได้
ด้วยเห็นแก่การธำรงราชบัลลังก์
ที่สืบสานมาหลายร้อยปี
แต่แสงไฟแห่งการเปลี่ยนแปลง
ยังหาได้ดับมอดลงสิ้นไม่
ส่งเจ้าชายน้อยเสด็จสู่สวรรคาลัย
ในยามสายอันหม่นมัวแลเร้นลับ
ยังความอาดูรทุกเทวษท่วมท้น
ปวงประชา
สยามรัฐยังดำเนินสืบไป
เจ้าชายน้อยองค์อนุชาโทมนัส
เป็นล้นพ้น
เกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยใดอื่น
“หม่อมฉันปรารถนาที่จะเป็น
อนุชาตลอดไป
มากกว่าจะเป็นกษัตริย์”
ด้วยขัตติยมานะแห่งหน่อเนื้อ
กษัตราธิราช
เจ้าชายน้อยจำเริญวัยพร้อม
เพียรเรียนรู้ การกสิกรรม
แลครรลองทศพิธราชธรรม
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”
ตลอดรัชสมัยอันยากลำบาก
ยาวนาน
แทบมิเคยจะทรงพระเกษมสำ
ราญอย่างแท้จริง
วันเวลาสิ้นไปในโรงนา
แปลงข้าวทดลอง โรงสี
บ่อเลี้ยงปลาโคนม กังหัน
ในเขตพระราชวังใต้แสงเงาร่มเย็น
อีกวัง “ไกลกังวล”
เป็นห้องทดลองการเพาะ บ่ม แปรรูป
ชลประทาน เหมืองฝาย ฝนแล้ง
ฝนหลวง
ทรงครองราชย์ด้วยวิถีแห่ง
กษัตริย์เกษตร
ยาตราไปในเขตเถื่อนทุรกันดาร
พร้อมแผนที่ เข็มทิศและพระธิดาองค์น้อย
ตลอดรัชสมัยอันยาวนานเจ็ดสิบปี
ด้วยประการฉะนี้
คราเมื่อเจ้าชายน้อย
ล่วงเข้าสู่วัยปัจฉิม
หลังการทรงงานมายาวนาน
อ่อนกายประดุจไม้ใกล้ฝั่งน้ำ
จนมิอาจทรงกายยืนหยัดขึ้นได้
แต่กลับตั้งปณิธานแน่แน่ว
จะลุกยืนให้ได้อีกครั้ง
พระราชามิอาจรำงับความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งได้
ไฟลาญผลาญพลังภายในพระองค์สิ้น
จนมิอาจจะทรงยืนหยัดขึ้นได้อีก
พระราชาจึงสูญสิ้นทั้งวัยดรุณอันชื่นบาน
แลวัยปัจฉิมอันสงบงาม
โอ้ว่าพระสุริย์สีห์
เนา ณ ที่แห่งหนไหน
ก็กระจ่างแจ้งกลางใจนิกร
ณ ผืนดินระแหงแห้งผาก
ณ ภูเขาแห่งการเพาะพืชพันธุ์
ในสายลมประโลมผู้ยากเข็ญ
ในสายธารเย็นผ่านเรือกสวน
บนก้อนเมฆที่หลอมกายลงเป็น สายฝน
...........................................................
พระองค์คือ “กษัตริย์เกษตร” อย่างแท้จริง ทรงรอบรู้ดิน น้ำ ลมไฟ อันเป็นองค์ประกอบหลักของการกสิกรรมทรงเป็นทั้งนักวิชาการและนักปฏิบัติที่เก็บเกี่ยว สั่งสมวิถีธรรมชาติ ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปทุกถิ่นที่ที่ทุรกันดาร ในหมู่บ้านกลางป่าพรุ บนภูเขา ทะเล แม่น้ำ ลำคลอง ประหนึ่งว่าทรงหยั่งรู้ดินฟ้า มหาสมุทร และทุกข์เข็ญของราษฎร
พระราชาผู้ทรงหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร
กาลครั้งหนึ่ง
ยังมีพระราชาองค์หนึ่ง
ทรงหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร
กระจ่างใจในหัวใจธรรมชาติ
ดิน น้ำ ลมไฟ
แลขุกเข็ญยากไร้ของไพร่ฟ้า
เวียงวัง พระราชา
มิต่างจากเรือนสามัญชน
ไม่เรืองรองโอฬารดังปราสาท
เพราะพระคือกษัตริย์เกษตร
มีไร่นา บ่อปลา ฝูงวัว ยุ้งฉาง
ลอมฟาง คันไถ กังหัน
โรงแปรพืชพันธุ์กสิกรรม
...........................................................
แม้พระวรกายจะอ่อนโรยด้วยวัยและวันอันตรากตรำ ก็หาทรงพำนักพักอยู่แต่ในเวียงวังไม่ ด้วยพระปณิธานอันแน่วแน่มิเคยโรยรา และพระเมตตาต่อพสกนิกรผู้หาเช้ากินค่ำ ในพื้นที่ห่างไกล ไม่เลือกว่าจะเป็นชาวไทยเชื้อสายใด ชาวมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ต่างตระหนักดี และต่างมีความผูกพันอย่างล้ำลึกต่อพระองค์ ปรากฏให้เห็นในดวงตาของพวกเขาอย่างแจ้งชัด
ด้วยประการฉะนี้ พระองค์จึงทรงเป็นพระราชาของประชาชน ทุกหมู่เหล่า ยากที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกเสมอเหมือน
ด้วยการทรงงานหนักตลอดรัชสมัยอันเหนื่อยยากพระวรกายจึงได้รับการกล่าวถึงทั่วสากลว่า พระองค์คือพระราชาของประชาชน และประชาชนของพระราชา
พระราชาของประชาชน
ประชาชนของพระราชา
เพราะเราถือกำเนิดในแผ่นดิน สุพรรณภูมิ
เป็นประชาชนของพระราชา
แลพระราชาของประชาชน
เป็นเทพที่จับต้องได้
แทรกสถิตอยู่ทุกแห่งหน
ในทุกอณูชีวิต
พระราชาอยู่บนท้องฟ้า
คอยหลอมก้อนเมฆ ให้ละลายเป็นฝนหลวง
พระราชาอยู่ในแม่น้ำ ลำธาร
เลี้ยวเลาะไปกลางใจหมู่บ้านหลังภูเขา
พระราชาอยู่ในผืนดินทุกเม็ด
บ่มเพาะ ปลูกฝังพืชพันธุ์ธัญญาหาร
พระราชาอยู่ในสำเนียงเสียงดุริยางค์
เป็นสายทิพย์ชโลมใจไพร่ฟ้า ประชาชี
อยู่บนขอบเขื่อนขันธ์ปราการ
ภูมิพล รัชชประภา ป่าสักชลสิทธิ์
กักเก็บน้ำไว้ป้องอุทกภัยหน้าฝน
ลำเลียงลงลำเหมือง ฝายไร่นาหน้าแล้ง
อยู่ในโครงการเกษตร อ่างขาง
ฟูมฟักพืชพันธุ์ไม้เขตหนาว
อยู่ในโครงการเศรษฐกิจพอเพียง
ในหนองน้ำ นาไร่ พืชสวน
ให้ความเพียงพอแก่กสิกร
อยู่ในโครงการชั่งหัวมัน
อุดมด้วยพืชไร่ มันเทศที่ไม่มีวันตาย
อยู่ในโครงการฝนหลวง
ในเมล็ดฝนทุกหยดหยาด
ที่กำจายสาดสายให้ชีวิตได้ดื่มกิน
อยู่ในอีกร้อยพันโครงการ
ในสายพานชีวิต
โดยวิธีปิดทองหลังพระ
...........................................................
เจ็ดทศวรรษอันยาวนาน ในรัชกาลแห่งพระราชาของประชาชน ผันผ่านไป เด็กรุ่นหลังได้แต่ฟังเรื่องราวของพระราชาองค์หนึ่ง ราวกับเป็นตำนาน ปู่ทวด ตายายยังคงกราบไหว้บูชาภาพฉายของพระองค์ที่ติดอยู่บนฝาบ้านทุกบ้าน และยังคงเล่าขานกันถึงกาลครั้งหนึ่ง ยังมีชายผู้หนึ่งที่เดินทางเข้าหมู่บ้านพร้อมด้วยแผนที่ เข็มทิศ และเด็กน้อยคนหนึ่ง
และอีกหลายปีต่อมา ฝนฟ้าก็กลับมาตกต้องตามฤดูกาล
กาลครั้งหนึ่ง
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว
ณ หมู่บ้านน้อย บนภูเขาสูง
คนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง
บุกรุกเข้ามายังหมู่บ้าน
ด้วยรถจี๊ป สีเขียวมอซอ
ผู้มาเยือน เป็นชายร่างสูง
มีหยดน้ำค้างเกาะปลายจมูก
สรวมแว่นตาดำ สะพายกล้อง
ถือแผนที่ ทัดดินสอไว้ริมหู
เด็กหญิงไว้ผมม้า หน้าตาพริ้มเพรา
พกสมุดเล่มน้อย ปากกาด้ามจิ๋ว
ชายร่างกำยำสองคน
ได้แต่เดินตามเงียบเชียบ
พ่อหลวง ตีเกราะ เคาะไม้
เรียกประชุมฉุกเฉิน
ชาวบ้านอุ้มลูกจูงหลานมาเต็มลาน
รวมทั้งลูกจัน เด็กหญิง
วัยเดียวกับเด็กหญิงผมม้าผู้มาเยือน
ชายแปลกหน้า กางแผนที่กับพื้นดิน
ขณะถามไถ่ ความทุกข์เข็ญของหมู่บ้าน
พ่อหลวงบ้านเล่าว่า
หลายปีที่ผ่านมา
หมู่บ้านเหลือเพียงฤดูร้อนฤดูเดียว
ป่าทั้งป่าถูกก่นถาง
ลำธารแห้งผาก ไปกับซากปลาพลวงและเขียดแลว
พืชพันธ์ุธัญญาหารไม่ผลิดอกออกช่อ
เข้าพรรษาปีที่แล้ว
ฝนตกต้องมาเพียงสามห่าในห้าเดือน
เมื่อข้าวโพดออกฝักอ่อน
ตั๊กแตนฝูงใหญ่บินมาแทะกินทั้งภูเขา
การเพาะปลูกจึงเป็นเพียงตำนาน แต่นั้นมา
การมาเยือนสิ้นสุดลง
ด้วยการทำสัญญาประชาคมหมู่บ้าน
ให้ปลูกป่า หรือไม่ตัดไม้
ปล่อยให้สายลมและฝูงนก
หว่านเมล็ดพันธุ์ ตามธรรมชาติ
ฟูมฟักด้วยแสงแดด และสายฝน
ชายร่างสูงให้สัญญาว่า
จะบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
ก่อนเลี้ยวรถลับ หายวับไป
ราวผู้วิเศษ
จำเนียรกาล ผ่านเลยไปสิบปี
หลังการเยือนของผู้วิเศษ
ลูกจันกลายเป็นกุหลาบแรกแย้มบนภูเขา
ด้วยรอดพ้นจากการไปทำงานในสถานบริการ
เพราะเหตุชายร่างสูงสัญญาว่า
จะนิรมิตให้ภูเขากลับอุดม ดังเดิม
ให้เมฆฝนลอยมาปะทะทิวไม้สูง
แล้วไม่ผ่านเลยไปเหมือนเก่าก่อน
ให้ผืนป่าฟื้นขึ้นมาหายใจแรงขึ้น
เพราะอุ้มน้ำไว้ใต้แผงราก
ให้ลำธารร้องเพลงเพราะเสนาะใส
ให้เห็ดถอบ เห็ดโคนกางร่มสะพรั่งใต้เงาไม้
หน่อไม้ ผักหวาน ผักกูด แตกยอดอ่อน
เขียดภูเขาส่งเสียงเซ็งแซ่หน้าฝน
ฝูงผึ้ง ฝูงมิ้มกลับมาสร้างรวงรัง
ข้าวไร่ออกรวงเหลืองอร่าม
และ ...“รุ้งเลื่อมลาย พร่างพรายนภา”
ผ่านไปแล้ว สิบปี
กว่าสาวจันจะรู้ความหมาย
กลอนที่ครูประกายคำแต่งไว้
ในวันที่ชายร่างสูงมาเยือน
“เพียงพระเสด็จผ่าน กาลครั้งหนึ่ง
พสกก็ซึ้ง ตรึงใจไปแสนนาน”
...........................................................
แม้บัดนี้ พระองค์จะจากไปแสนไกลแล้ว อิทธิปาฏิหาริย์และความงดงามแห่งพระจริยาวัตรปฏิบัติ ของพระองค์ยังตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของพสกนิกร มิมีวันรู้โรย ประหนึ่งว่ายังทรงอยู่ไม่ไกลจากวังไกลกังวล
ไกลกังวล
พสกนิกรเอย
อย่าได้ทุกข์เทวษ ร่ำไห้ไปอีกเลย
แม้นว่าเราได้จากไปแสนไกลแล้ว
แต่ก็ใกล้แสนใกล้
ตราบที่เธอยังเห็นดวงตะวัน หมู่เมฆขาว เดือน ดาว
และพันแสงรุ้ง
ตราบเธอยังสัมผัสได้ถึงสายลม สายน้ำ สายฝน
เพราะ เราอยู่ในนั้นเสมอ
ตราบอาณาประชาราษฎร์ยังยากเข็ญ
ตราบผืนแผ่นดินยังแห้งแล้ง
แตกระแหงแม้ในละหาน
เราอยู่ในสายฝน เพื่อสร้างแม่น้ำ ลำธาร
อยู่ในก้อนเมฆสีคราม คอยหลอมละลายเป็นสายฝน
อยู่ในแสงตะวันอำไพ เฝ้าฟูมฟักพืชพันธุ์ธัญญาหาร
อยู่ในแสงสายรุ้ง เพื่อสร้างปณิธานแล ความใฝ่ฝัน
อยู่ในสายลมที่เธอได้สูดดอม เป็นลมหายใจ
จะอยู่ไม่ไกล จากวังไกลกังวลนัก
แต่อยู่ใกล้ทวยราษฎร์ ในถิ่นที่ทุรกันดาร
อยู่ในทุกที่ ที่มีสายลมรำเพยผ่าน
เพราะสายลม คือคำพร ของเรา
ที่เธอสัมผัสได้ รอบกาย ในทุกแห่งหน
พสกเอย
อย่าได้หมองหม่นใจไปอีกเลย
เพราะเราอยู่ในกาย
ในลมหายใจของเธอ
.................
แม้จะเป็นเพียง ความฝันใกล้รุ่ง
กระนั้น พระสุรเสียงกลับอบอุ่น ลึกล้ำ
ดุจได้สัมผัสในความเป็นจริง
ภักดิ์ รตนผล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี