“อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” มีความสำคัญต่อภารกิจรักษาความมั่นคงด้านอธิปไตยของชาติ ดังจะเห็นได้จากชาติมหาอำนาจที่มีกำลังทหารเข้มแข็งมักสามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ใช้งานในกองทัพได้เอง สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมากองทัพมักต้องพึ่งพาการจัดหาอาวุธจากต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้รัฐบาลบรรจุแผนพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไว้ในยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างฝ่ายทหารและพลเรือน ตั้งเป้าหมายเพิ่มการจัดหาอาวุธที่ผลิตได้เองในประเทศให้มากขึ้นในระยะยาวเพื่อประหยัดงบประมาณ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) จัดงาน “มหกรรมการวิจัยด้านยุทโธปกรณ์ สู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ” โดยกองทัพบก ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ดำเนินโครงการวิจัยทางด้านยุทโธปกรณ์เพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศขึ้นตั้งแต่ปี 2557-2563
ศ.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กล่าวว่าผลงานที่นำมาจัดแสดงในงาน ได้รับทุนจากโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์ ที่ร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในการวิจัยและพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การพัฒนา การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตอบโจทย์งานด้านความมั่นคง จำนวน113 โครงการ
“ผลงานที่โดดเด่นผ่านมาตรฐานของกองทัพนำไปสู่การผลิตและใช้ประโยชน์ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการการพัฒนาการออกแบบและผลิตชุดแหวนยางกันซึม ที่ใช้ในปืนใหญ่หนักกระสุนวิถีราบแบบ34GH N-45 A1 ขนาด 155 มิลลิเมตร และโครงการเพิ่มสมรรถนะของระบบสื่อสารแบบควบรวม ด้วยเทคโนโลยีระบุพิกัดจากดาวเทียมหลายระบบเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจทางทหาร โดยทั้ง 2 นี้เป็นผลงานจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์” รองปลัด อว. กล่าว
ศ.ศุภชัย กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังมีผลงานวิจัยที่ผ่านการพิจารณาระดับคณะกรรมการกลั่นกรองผลงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารด้านหลักการ กองทัพบก (คกล.ทบ.) จำนวน 1 โครงการ และผลงานวิจัยที่ผ่านการประเมินผลโดยคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กองทัพบก (กมย.ทบ.) และนำไปสู่การผลิตหรือใช้ประโยชน์ จำนวน 1 โครงการ
โดยการจัดนิทรรศการครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้ดำเนินการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ เป็นระยะเวลา 5 ปี รวม 113 โครงการ โดยเริ่มขึ้นในปีแรก (2558)จำนวน 14 โครงการ ในปีที่ 2 (2559) จำนวน 18 โครงการ ในปีที่ 3 (2560) จำนวน 21 โครงการในปีที่ 4 (2561) จำนวน 22 โครงการ ปีที่ 5 (2562) จำนวน 19 โครงการ และปีที่ 6 (2563) จำนวน 19 โครงการ รวมทั้งสิ้น 113 โครงการ ปัจจุบันมีนักวิจัยจากทุนโครงการนี้ทั้งสิ้นจำนวน 94 คน
อนึ่ง โครงการวิจัยด้านยุทโธปกรณ์นี้มีลักษณะเป็น Dual-Use ที่หมายถึงแม้การพัฒนางานวิจัยและยุทโธปกรณ์จะเป็นไปเพื่อใช้งานในกองทัพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องนำไปสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์ สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ด้วย อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาคนหรือนักวิจัย เพราะนักวิจัยจะทำงานได้ก็ต้องมีนักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี โทหรือเอกร่วมอยู่ด้วย กลุ่มเหล่านี้จะถูกสร้างต่อเนื่องขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นนักวิจัย เป็นบุคคลที่มีศักยภาพของประเทศในการต่อยอด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ต่อไป
“ในการทำวิจัยนั้นไม่ได้หมายความว่างานวิจัยหนึ่งจะมีผลงาน หรือผลิตภัณฑ์สุดท้ายจบอยู่เพียงแค่นั้น แต่เส้นทางเดินกว่าจะไปถึงผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะมีการสร้างเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา เทคโนโลยีระหว่างทางอาจจะไม่ได้หมายถึงการนำไปสู่ยุทโธปกรณ์หรือการป้องกันประเทศเพียงอย่างเดียว แต่สามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องอื่นๆ ได้
เราอยากให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้จบแค่การออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เป็นยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในกองทัพหรือเชิงพาณิชย์ แต่เรามองว่าเราสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปสู่การเป็นสตาร์ทอัพ (Startup) เราจะต้องสร้าง Startup รุ่นใหม่แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสร้าง Startup ที่เป็นธุรกิจเพื่อทำอาวุธ หรือเทคโนโลยียุทโธปกรณ์ แต่เป็น Startupที่นำเอาเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นระหว่างทางไปสู่การสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศ”ศ.ศุภชัย อธิบาย
ขณะที่ พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ เสนาธิการทหารบก กล่าวว่า ผลงานที่ได้จากการวิจัย ทำให้กองทัพสามารถดำรงสภาพการพร้อมรบจากยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานมานานแล้ว และส่วนของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถนำมาเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาศักยภาพการวิจัยด้านยุทโธปกรณ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและลดการนำเข้าอาวุธจากต่างประเทศซึ่งต้องใช้งบประมาณในการจัดหาและซ่อมบำรุงสูง
โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้การสนับสนุนในส่วนของค่าใช้จ่ายในรูปของตัวเงิน และกองทัพบกสนับสนุนโครงการในรูปของส่วนสนับสนุนอื่น ได้แก่ การกำหนดความต้องการและความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตรงกับความต้องการของกองทัพบก การอำนวยความสะดวกในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายยุทธภัณฑ์ สถานที่ในการทดสอบยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมการวิจัยด้านยุทโธปกรณ์สู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานที่นำไปสู่การสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ โดยกระทรวง อว. เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนงบประมาณและนักวิจัย ซึ่งได้โจทย์ความต้องการจากกองทัพหรือหน่วยงานผู้ใช้ เรียกได้ว่าการทำงานอย่างต่อเนื่องยาวนานนี้
สะท้อนให้เห็นว่าโครงการที่เกิดขึ้นนี้เป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี