(ต่อจากฉบับวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. 2563) ยังคงอยู่กับบทวิเคราะห์ 5 ธุรกิจในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 (ระลอกแรก) ในประเทศไทย จากงานสัมมนาหัวข้อ “ผลกระทบของ COVID-19 ต่ออุตสาหกรรมไทย” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) ซึ่งในตอนที่แล้วกล่าวถึงธุรกิจอาหาร ส่วนในตอนนี้จะว่าด้วย “เครื่องนุ่งห่ม” อันมีลักษณะเฉพาะคือเป็นภาคที่ใช้แรงงานเข้มข้นเมื่อเทียบกับอีกหลายธุรกิจ
ภานุพงศ์ ศรีอุดมขจร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับหน้าที่บรรยายเรื่อง “ผลกระทบของ COVID-19 ต่ออุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม”เริ่มจากการแบ่งประเภทธุรกิจที่เกี่ยวข้องเป็น “ปลายน้ำ” หมายถึงเสื้อผ้าที่ผู้คนซื้อหามาสวมใส่ “กลางน้ำ” หมายถึงกิจการที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งผ้าผืน ก่อนนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า และ “ต้นน้ำ” หมายถึงการผลิตเส้นด้ายหรือเส้นใยสำหรับนำไปทำเป็นผ้าผืน
เมื่อดูสัดส่วนประเภทธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มในประเทศไทย พบว่ากว่าครึ่งคือร้อยละ 57.78 อยู่ในภาคปลายน้ำคือเสื้อผ้า โดยมีการจ้างงานร้อยละ 54.78 และมีเม็ดเงินอยู่ในส่วนนี้เกือบครึ่งคือร้อยละ 45.9 รองลงมาก็ยังเป็นภาคปลายน้ำแต่เป็นสินค้าอื่นๆ ร้อยละ 16.07 เช่น เต็นท์ โดยกลุ่มนี้มีการจ้างงาน ร้อยละ 16.52 และมีสัดส่วนเม็ดเงินร้อยละ 20.89 ในทางกลับกัน “กลุ่มเปราะบาง” หมายถึงผู้ประกอบการที่มีสภาพคล่องทางการเงินไม่มั่นคง พบว่า อยู่ที่ 2 กลุ่มเท่ากัน คือต้นน้ำกลุ่มเส้นด้าย และกลางน้ำกลุ่มผ้าผืนทั้ง 2 กลุ่มมีสัดส่วนกลุ่มเปราะบางอยู่ที่ร้อยละ 42.86
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มเสื้อผ้านั้นแบ่งเป็น 4 ผลิตภัณฑ์หลักๆ คือชุดกีฬา ชุดชั้นใน เสื้อชั้นนอก และเสื้อผ้าอื่นๆ ในกลุ่มนี้ผู้ประกอบการที่ผลิตเสื้อชั้นนอกมีจำนวนมากที่สุด ร้อยละ 30.47 มีสัดส่วนการจ้างงานอยู่ที่ร้อยละ 33-34 ขณะที่กลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมากที่สุดคือกลุ่มชุดกีฬา กลุ่มนี้มีผู้ประกอบการสายส่งออกถึงร้อยละ 67 แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นกลุ่มชุดกีฬาสายส่งออกนี้เองที่มีผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางสูงอยู่จำนวนมาก
“กลุ่มเปราะบางเขาเป็นคนที่มีสัดส่วนเงินสดที่น้อย-มีสัดส่วนหนี้ที่สูง ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เก่ง ข้อเท็จจริงที่เราพบจากการวิเคราะห์ คือผู้ประกอบการที่เปราะบางคือเขาบริหารเงินสดเก่ง เขามีหนี้เยอะ ฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่เขาจะทำกำไรได้ดี ถ้าไม่เกิดวิกฤติเขาก็อาจเป็นผู้ประกอบการกลุ่มที่เติบโตก็ได้ แต่พอเกิดวิกฤติรัฐบาลก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือ”อาจารย์ภานุพงศ์ อธิบายความหมายของผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบาง
เมื่อย้อนไปดูสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 (ระลอกแรก) พบว่า กลุ่มปลายน้ำอย่างเสื้อผ้ามีมูลค่าผลผลิตประมาณ 2.5 พันล้านบาทต่อเดือนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 และปรับลดลงกว่า ร้อยละ 43 เหลือเพียง 1.5 พันล้านบาทในเดือน เม.ย. 2563 ก่อนจะขยายตัวกลับสู่ระดับการผลิตเฉลี่ย 2 พันล้านบาทในไตรมาส 3/2563 เช่นเดียวกับกลุ่มต้นน้ำ (เส้นใย) และกลางน้ำ (ผ้าผืน)มีมูลค่าผลผลิตประมาณ 1.6 และ 1.3 พันล้านบาทต่อเดือนตามลำดับ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 และมีรูปแบบการหดตัวเหมือนสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า
ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างการส่งออก-นำเข้า พบว่า ไทยส่งสินค้ากลุ่มนี้มากกว่านำเข้ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างไรก็ตาม “อัตราการเติบโตของการส่งออกน้อยกว่าการนำเข้า จึงเป็นไปได้ที่ในอนาคตการนำเข้าอาจมากกว่าการส่งออกก็ได้” และในช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งด้านการส่งออกและนำเข้าก็ลดลงเช่นกันในเดือน พ.ค. 2563 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในเดือน ก.ค. 2563
อาจารย์ภานุพงศ์กล่าวต่อไปว่า แม้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มจะเป็นภาคที่มีการจ้างแรงงานสูง แต่จำนวนการจ้างก็มีแนวโน้มลดลง เช่น จากร้อยละ 4.2 ในปี 2544 เหลืออยู่ที่ร้อยละ 2.3 ในปี 2562 “แนวโน้มโรงงานเสื้อผ้าเริ่มเปลี่ยนจากขนาดใหญ่เป็นขนาดกลางหรือขนาดเล็ก” อนึ่งมาตรการปิดประเทศที่ใช้กันทั่วโลก กระทบต่อผู้ส่งออก เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศถูกระงับหรือเลื่อนออกไปและต่อผู้นำเข้าเพราะช่องทางการขนส่งถูกระงับชั่วคราว
และการถูกยกเลิกหรือเลื่อนคำสั่งซื้อออกไปเป็นผลกระทบสำคัญสำหรับผู้ส่งออกจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 โดยร้อยละ 85 ของผู้ประกอบการที่สัมภาษณ์เชิงลึก (งานวิจัยชิ้นนี้มีการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ 20 ราย) ได้รับผลกระทบเนื่องจากลักษณะของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นสินค้าไม่จำเป็น ทำให้ความยืดหยุ่นต่อรายได้มีค่าค่อนข้างสูงนั่นคือผู้บริโภคสามารถชะลอการบริโภคสินค้าได้เมื่อรายได้ตนเองลดลงในช่วงวิกฤติ
“เขาลดรายจ่ายด้วยการเลิกจ้างแรงงาน โดยที่ Pattern(รูปแบบตามลำดับ) ของการเลิกจ้างเขาไม่ได้อยากเลิกจ้างให้ออกเลย เขาลดชั่วโมงการทำงาน ลด OT (การทำงานล่วงเวลา) ก่อน นี่คือทางเลือกแรกในการปรับตัว แล้วหลังจากนั้นมี 25% ที่จำเป็นต้องปลดคนงานออก แต่สัดส่วนที่ปลดคนงานออกเป็นคนต่างชาติมากกว่าคนไทยประมาณ 10%” อาจารย์ภานุพงศ์ ระบุ
สำหรับการปรับตัวของผู้ประกอบการ เกิดขึ้นหลายวิธี 1.หันไปผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการระยะสั้น เช่น หน้ากากผ้า อย่างไรก็ตาม“ผู้ประกอบการไทยยังมีข้อจำกัดเรื่องการผลิตสินค้าประเภทนี้ให้มีคุณภาพได้มาตรฐานทางการแพทย์” อาทิชุด PPE จึงไม่สามารถจำหน่ายได้ไม่ว่าทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นหากจะมองให้เป็นโอกาสภาครัฐต้องให้การสนับสนุนด้วย
2.หันไปใช้ช่องทางออนไลน์ทำตลาด โดยเริ่มเห็นในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยยังไม่ค่อยได้ประโยชน์จากการเติบโตของการค้าขายออนไลน์มากนัก เพราะจำนวนมากเป็นการนำเข้าเสื้อผ้าจากประเทศจีน 3.ลดจำนวนแรงงานชั่วคราว โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ อย่างไรก็ตาม “พบแนวโน้มผู้ประกอบการที่ต้องการลดขนาดกิจการ (Downsizing) หรือเลิกกิจการ” ดังนั้นรัฐควรทำระบบจับคู่ (Matching) ระหว่างแรงงานที่ตกงานแต่ยังมีทักษะกับธุรกิจที่ยังเดินหน้าไปต่อ เช่น การผลิตเสื้อผ้าที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์
ปิดท้ายด้วย “การใช้เครื่องจักร (Automation) แทนแรงงานคนในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าหรือสิ่งทอยังมีข้อจำกัด” เช่น การหยิบจับเสื้อผ้าบางประเภท การใช้เทคโนโลยีในธุรกิจกลุ่มนี้จึงยังจำกัดอยู่ที่เพียงขั้นออกแบบ (Pre-Production) และขั้นทำการตลาด (Post-Production)เท่านั้น ส่วนประเด็น “สิ่งทอและเสื้อผ้ากับการย้ายฐานการผลิตจากไทยไปต่างประเทศ” มีแนวโน้มมานานแล้ว แม้ในช่วงแรกๆ ที่เกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะมีการชะลอตัวบ้างจากความรู้สึกไม่แน่นอน แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ดำเนินต่อไป โดยสาเหตุของการย้ายออก เช่น ต้องการหาประโยชน์จากสิทธิทางภาษี ค่าแรงที่ถูกกว่า เป็นต้น
(โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับวันจันทร์ที่ 28 ธ.ค. 2563 หน้า 17)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี