นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมาต้องถือว่ารัฐบาลโดยศูนย์ COVID-19 ได้ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่า ได้เกิดการระบาดในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลสามารถควบคุมโรคมิให้ระบาดติดต่อในไทยได้เป็นเวลาร่วม 6 เดือนเศษ
การระบาดรอบนี้ได้รับคำอธิบายจาก นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ว่า เป็นการระบาดระลอกใหม่ (Newly Emerging) เพราะเป็นการติดเชื้อใหม่จากอีกกลุ่ม(แรงงานต่างด้าว) ไม่ได้เชื่อมโยงกับการระบาดของ COVID-19 ในระลอกแรก(สนามมวย/ผับบาร์ที่ทองหล่อ) ซึ่งจบไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ด้วยการระบาดครั้งนี้สาเหตุเริ่มจากแพกุ้งหรือตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร ศบค.จึงให้นิยามเรียกว่า“การระบาดระลอกใหม่” ซึ่งจะเรียกอย่างนี้ก็มีเหตุผลยอมรับฟังได้
แต่ปัญหาสำคัญที่ผู้คนในบ้านเมืองต่างให้ความสนใจคือ สาเหตุแห่งการระบาดระลอกใหม่นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งที่ประชาชนต่างให้ความร่วมมือและระมัดระวัง เรียกว่าการ์ดประชาชนไม่เคยตก จากผลของการสอบสวนโรค และข้อเท็จจริงทั้งหลายที่ปรากฏ ล้วนยอมรับตรงกันว่า ส่วนสำคัญมาจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ และเกิดจากผลของระบบราชการที่ล้าหลัง ทำให้เกิดช่องโหว่ประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต หากินกับขบวนการค้าแรงงานข้ามแดน และการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว รวมถึงการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ปล่อยให้มีการเปิดบ่อนลักลอบเล่นการพนันในเมือง(จังหวัดระยอง) อย่างโจ่งแจ้งจนกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อ การระบาดของโรคระลอกใหม่นี้ จึงเป็นปัญหาอันมีสาเหตุจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นผู้การ์ดตกเสียเองอย่างที่มิอาจปฏิเสธได้
ผลของการ์ดตกและความบกพร่องโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าว เริ่มต้นเมื่อ 17 ธ.ค.2563 เมื่อ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่าพบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นหญิงอายุ 67 ปี แม่ค้าในตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร นับถึงวันนี้ก็ปรากฏว่ามีผู้ติดเชื้อระบาดไปถึง 50 จังหวัดเกือบทั่วประเทศ และมีจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมถึง 7,694 ราย เพิ่มขึ้นในแต่ละวันนับหลายร้อยราย กินพื้นที่หลายจังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร เป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง โดยยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถควบคุมและหยุดสถานการณ์ระบาดนี้ให้ยุติได้
โควิดระบาดรอบนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดคือ ผลกระทบต่อสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ผู้ประกอบการร้านค้าและการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการต่างๆ
ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวต้องทรุดและซบเซาลงอีกครั้ง จากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย อาจได้รับความสูญเสียจากการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท ในกรอบเวลา 1 เดือน ซึ่งก็สอดคล้องกับการประเมินของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยหอการค้า โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี ที่คาดว่าน่าจะเสียหายประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมและจัดการการแพร่ระบาดครั้งนี้ให้ยุติลงได้ ความเสียหายอาจบานปลายและขยายตัวไปมากกว่านี้อีก นี่ยังไม่นับรวมถึงมาตรการที่รัฐบาลจะทยอยประกาศเพื่อให้ผู้ประกอบการร้านค้า ภัตตาคาร ร้านอาหาร และกิจกรรมต่างๆ ต้องหยุดดำเนินกิจการ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนและผู้ใช้แรงงานที่ต้องหยุดงานอีก ที่อาจเสียหายจำนวนหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการไร้ความรับผิดชอบของคนเพียงไม่กี่คน ที่สร้างปัญหาฉุดรั้งประเทศให้จมปลักกลับสู่การเผชิญกับหายนะภัยอีกครั้ง จนมิอาจประเมินความเสียหายได้
เมื่อประเทศต้องเผชิญปัญหาวิกฤติเช่นนี้ แน่นอนที่สุดเบื้องแรกทั้งรัฐบาลและประชาชน ต้องร่วมมือรวมใจเป็นหนึ่งเหมือนเช่นที่เราเคยสามัคคีกัน ร่วมมือกันเอาชนะโควิดมาแล้วในรอบแรก แต่ความเสียหายต่อประเทศชาติอันเกิดจากการระบาดระลอกใหม่ที่เกิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ และปัญหาอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ที่เป็นต้นเหตุและมะเร็งร้ายเกาะกินสังคมไทยตลอดมาเป็นปัญหาที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มิอาจเพิกเฉยปล่อยปละละเลย ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลได้อีกต่อไป หากยังคงเพิกเฉยและปล่อยให้ปัญหาเลือนหายไปเป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่ง หายนะเช่นนี้ก็จะกลับมาทำลายสังคมไทยอีกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การที่นายกรัฐมนตรียืดอกประกาศกล้าเสียงดังกับใครต่อใครว่า “นายกรัฐมนตรีไม่โกง รัฐบาลไม่ทุจริต” แต่ปรากฏว่ายังมีเจ้าหน้าที่รัฐในทุกๆหน่วยงาน ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ยังมีพฤติกรรมทุจริตหรือแสวงหาประโยชน์อันมิชอบอย่างกลาดเกลื่อน หรือมีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมมิอาจอ้างได้ว่า นายกฯไม่โกง รัฐบาลชุดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างเต็มปาก
การแสดงความรับผิดชอบของรัฐบาลต่อปัญหานี้ จึงเป็นปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การลอยตัวหนีปัญหาก็ดี หรือกลบเกลื่อนปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปโดยมิได้ดำเนินการใดๆกับบุคคลที่กระทำผิด มีแต่จะทำลายศรัทธาความเชื่อถือต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้เสื่อมลง
ประพันธุ์ คูณมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี