“คนไม่ยอมตั้ง (คิวอาร์โค้ด) ทางทีมงานเขาก็ไปเดินตลาดแล้วก็มาคุยกับผม พี่!..ไม่มีร้านไหนยอมตั้งเลยทำอย่างไรดีผมก็กลับมาคิด โจทย์มันอยู่ตรงนี้คือทำอย่างไรให้ร้านยอมตั้ง ร้านยอมใช้ผมว่ามันเป็น Step (ขั้นตอน) ที่ 2 เอาเรื่องแรกก่อน ยอมตั้งก่อน ถ้าเขาไม่ตั้งก็ไม่มีคนเห็น ไม่มีคนเห็นก็ไม่มีคนใช้ ฉะนั้นเอาให้เขายอมตั้งก่อน เขาไม่ยอมตั้งเพราะเขาคิดว่าไม่มีประโยชน์ เราทำอย่างไรให้คิวอาร์โค้ดของเรามันมีประโยชน์
สิ่งที่เราค้นพบทุกท่านก็ทราบอยู่ การทำมาหากินในประเทศไทยต้องบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ น้ำแดงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์รูปแบบต่างๆ เราก็ค้นพบว่าจริงๆ มันก็มีหลายรูปแบบ มีจระเข้ มีไทร มีตัวนั่นตัวนี่ มีแมวเหมียว มีตุ๊กตาลูกเทพ พวกนี้อยู่ใน Option (ตัวเลือก) ของเราว่าเราจะเล่นตัวไหนดีที่ทำให้คนเขาอยากเอาไปใช้หน้าร้าน ก็มาจบมาลงเอยที่ตุ๊กตานางกวัก”
เรื่องเล่าจาก สุธีรพันธุ์ สักรวัตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในงานสัมมนา “การตลาดของคนอยู่เป็น (Marketing in the Uncertain World)” ซึ่งจัดโดย วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เมื่อช่วงกลางเดือน ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับ “แม่มณี” หรือตุ๊กตานางกวักที่ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ทำขึ้นเพื่อปลุกกระแสให้ผู้คนหันมาใช้จ่ายเงินผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล
ก่อนจะมาเป็นแม่มณี เรื่องนี้ต้องย้อนไปในปี 2559เมื่อรัฐบาล เปิดตัว “พร้อมเพย์ (Prompt Pay)” ที่เป็นการผูกบัญชีธนาคารเข้ากับบัตรประชาชนหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือ จากนั้นในปี 2560 ได้ยกระดับไปเป็นการสร้างคิวอาร์โค้ด (QR Code) สำหรับบัญชีธนาคาร โดยรัฐบาลหวังให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมไร้เงินสด (Cashless Society)ซึ่งจะคล้ายกับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เช่น จีน อินเดีย หรือประเทศในทวีปแอฟริกา ที่เปลี่ยนจากการใช้เงินสดไปเป็นการชำระเงินผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลโดยไม่ต้องผ่านยุคการใช้บัตรและเช็คเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว
สุธีรพันธุ์กล่าวว่า การเปลี่ยนสู่สังคมไร้เงินสดมีข้อดีคือลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเหรียญและธนบัตร ซึ่งเคยมีผู้คำนวณว่าคิดเป็นร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในระบบเศรษฐกิจ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในช่วงแรกๆ นั้นผู้ค้าตามตลาดต่างๆ มองว่าแผ่นคิวอาร์โค้ดเกะกะหน้าร้านบ้าง ติดไว้แล้วไม่มีใครมาใช้บ้าง กระทั่งเมื่อคิดได้ว่า “พ่อค้าแม่ค้าชาวไทยมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โชคลาภ โดยเฉพาะการบูชาแม่นางกวัก”และนี่คือ“จุดเริ่มต้น” ในการกำเนิดขึ้นของแม่มณี
โดยคำว่า “มณี” เป็นการเล่นกับการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษคำว่า “มันนี่ (Money)” ตามชื่อโครงการ“มันนี่โซลูชั่น (Money Solution)” จากนั้นเติมคำว่า “แม่” นำหน้าเพื่อให้เข้ากับลักษณะความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้จากเดิมที่เป็นเพียงต้องการส่งเสริมให้ผู้คนหันมาใช้การชำระเงินผ่านดิจิทัล แม่มณีได้ยกระดับกลายเป็นเครื่องรางของขลังของร้านค้าไปโดยปริยาย โครงการนำร่อง 6 เดือนแรก มเการชำระเงินผ่านระบบนี้ถึง 1.8 หมื่นล้านบาท และในช่วง 2 ปีล่าสุด พบร้านค้าขนาดเล็กถึงเล็กมากมาเป็นลูกค้าของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นดูจะสอดคล้องกับผลการศึกษาของ CMMU ที่นำมาเผยแพร่ในงานสัมมนาครั้งนี้ โดยพบว่า“คนไทย 52 ล้านคนเชื่อในเรื่องโชคลาง” โดยมีสาเหตุแบ่งเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 58 ประสบการณ์ของคนใกล้ชิดที่ได้รับฟัง เช่น พ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย อันดับ 2 ร้อยละ 55 ประสบการณ์ส่วนตัว อันดับ 3 ร้อยละ 49 มาจากเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆ กันมา และอันดับ 4 ร้อยละ 42 ประเพณีวัฒนธรรม “โหราศาสตร์หรือการดูดวง เป็นเรื่องโชคลางที่คนไทยเชื่อมากที่สุด” เช่น ลายมือ ไพ่ยิปซี ฯลฯ
ขณะที่ “พระเครื่อง-วัตถุมงคล ตามมาเป็นอันดับ 2” โดยล่าสุดที่กำลังโด่งดังคือ “ไอ้ไข่” แห่ง จ.นครศรีธรรมราช ถึงขนาดที่สายการบินต้องจัดเที่ยวบินตรงเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักแสวงโชคจากทั่วทุกสารทิศ อันดับ 3 สีมงคล เช่น การเลือกสีเครื่องแต่งกายตามวันเกิด อันดับ 4 เลขมงคล ดังที่หลายคนพยายามหาหมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นเลขนำโชคมาครอบครอง และอันดับ 5 เรื่องเหนือธรรมชาติ เห็นได้จากมีรายการที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับผ่านสื่อหลายแขนงทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์
กลับมายังเรื่องราวของแม่มณี ที่โด่งดังข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกล โดย สุธีรพันธุ์ เล่าต่ออีกว่า เคยมีนักวิชาการจากอังกฤษมาขอสัมภาษณ์เพราะอยากรู้ที่มาที่ไปของแนวคิดนี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะ “มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน”แม้กระทั่งความรู้ที่เคยเรียนมา เมื่อเวลาผ่านไปความรู้นั้นอาจใช้ไม่ได้อีกแล้ว หรือกลยุทธ์ทางการตลาดที่แม้จะเป็นสถานการณ์โควิด-19 เหมือนกัน แต่สิ่งที่เคยทำแล้วได้ผลดีในปี 2563 พอมาถึงปี 2564 อาจจะใช้ต่อไปไม่ได้อีก “แต่ดาราศาสตร์และไสยศาสตร์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานับพันปี” มนุษย์จึงยึดสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่งทางใจ
“ในโลกที่ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมด มันเหมือนกระแสน้ำมันกรากเกรี้ยวมากๆ แน่นอนว่าเมื่อเราตกอยู่ในกระแสน้ำที่มันกรากเกรี้ยว สิ่งที่เราต้องการคือความแน่นอนอะไรบางอย่าง ต้องการอะไรบางอย่างให้เราไปยึดเกี่ยว 2-3 พันปีที่ผ่านมามันมีศาสตร์หนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งโลกเคยแบนวันหนึ่งโลกกลม วันหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าไม่ดีมันกลายเป็นเรื่องดี วันหนึ่งกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายวันนี้มันถูกกฎหมาย มันไม่เคยมีอะไรจริงแท้แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนและไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือฮวงจุ้ย ไสยศาสตร์ ศาสตร์ดูดวงต่างๆ
ผมถามหน่อยว่าเอาคนเมื่อ 200 ปีที่แล้วมาดูดวงวันนี้ดูได้ไหม? ดูได้! มันคือเรื่องเดียวกัน ตำราเล่มเดียวกัน โหงวเฮ้งเอาคนจีน 3 พันปีที่แล้วมาดูโหงวเฮ้งเราวันนี้ก็ยังอธิบายได้เหมือนเดิม มันก็เลยเป็นที่มาที่ไปว่าทำไมคนยุคนี้ต้องหาอะไรจับ แล้วสิ่งมันจับได้และแน่นอนที่สุดก็เรื่องนี้ เรื่องไสยศาสตร์ คงหลีกไม่พ้นคำถามที่ว่าไม่รู้จะเอาตรรกะอะไรมาอธิบายเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าในโลกของ Uncertain World (โลกที่ไม่แน่นอน) เราก็ต้องหาอะไรที่มัน Certain (แน่นอน) แล้วผมก็เชื่อว่าความเชื่อ สิ่งที่มันพิสูจน์มาเป็นพันๆ ปีต่างหากที่มัน Certain” สุธีรพันธุ์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี