พระราชสุเมธี หรือ หลวงปู่เหลี่ยม สุจิณโณ เจ้าอาวาสวัดภูตูมวนาราม ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมตตาเทศนาธรรมให้กับคนกรุงที่สนใจการภาวนาและพัฒนาจิต ในหัวข้อ "หลักการภาวนาเพื่อยกระดับและพัฒนาจิตใจตน" ที่มูลนิธิธรรมดี ซอยมหาดเล็กหลวง 2 ถนนราชดำริ กรุงเทพฯ โดยมีเนื้อหาธรรมดังนี้
...ต้องสร้าง เสร็จแล้วท่านเห็น โอ้ย อินทรีย์ยังอ่อนน่ะ อินทรีย์ยังอ่อน ต้องสร้างอินทรีย์ เมื่อก่อนนี้ อินทรีย์คืออะไร คำว่า “อินทรีย์” อยู่ในโพธิปักขิยธรรมบทหนึ่ง เพราะฉะนั้น เป็นภาควิชาการ เราไม่ต้องไปนึกถึง เรานั่งสมาธิอย่างเดียว โพธิปักขิยธรรมจะอยู่ที่นั่นหมด ทีนี้อินทรีย์อ่อน ใครมีสติยังไม่มั่นคงบ้าง ก็ฝึกสติ สตินี้อยู่ในหนึ่งในห้าของอินทรีย์ อินทรีย์ที่ครูบาอาจารย์ฯกล่าวนั้น คือ หนึ่ง ศรัทธา, สอง วิริยะ คือ ความพากเพียรพยายาม, สาม สติ สามประการนี้มีมั่นคงแล้ว สมาธิ และ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ดังนั้น เรามาฝึก “สติ” ถ้าฝึกสติแล้วก็ไปหมด ถ้าฝึกสติอย่างเดียวอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ให้ฝึกสติ ให้สติเราตั้งมั่น
หลวงปู่เจือ จะเอาอันนี้มาตลอด จนพรรคพวกว่า เมื่อให้สติตั้งมั่นอยู่ที่ปลายจมูก เมื่อภาวนาจนจิตนิ่ง ก็เห็นแสงสว่าง ท่านบอกว่า ให้ขยายแสงสว่าง แล้วไปดูท้องฟ้า นี่คือ หลวงปู่เจือ แล้วหมู่พวกคณะก็ว่า หลวงปู่เจือ ทำไมให้แต่พวกเราดูท้องฟ้า แต่อาตมาไม่เคยว่า เพราะเคยฝึกมา คือ ฝึกสติของเรา เอาสติไว้ที่ใด เอาสติไว้ที่ปลายจมูก หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ มีแค่นี่แหละ แต่ทีนี้ หายใจอย่างไร ถึงจะให้มีสติตั้งมั่นได้ ก็คือ หายใจยาวๆ ดัดจริตนิดนึง นี่ หายใจเข้ายาวให้สุดเฮือกถึงสะดือ กำหนดเอา มโนเอาว่าถึงสะดือ เรารู้ตัวเราเอง ทุกคนรู้ แล้วเวลาหายใจออกนั้น ไม่ต้องไปดันออก ให้มันผ่อนออกมา อันนี้เรียกว่า ฝึกสติ แต่ที่นี้ ถ้าเรานับ มันก็จะพัฒนาทั้งปัญญา และ จะได้รู้จักว่า เรานั่งได้กี่นาที ก็เป็นการฝึกวิริยะไปด้วย
หายใจเข้า หายใจออก นับหนึ่ง หายใจเข้า หายใจออก นับสอง นับได้ถึงสิบครั้งได้หนึ่งนาที นับได้ถึงร้อยครั้ง ได้สิบนาที นับถึงสามร้อยครั้งได้ครึ่งชั่วโมง อันนี้ฝึกนับก่อน แล้วก็ฝึกให้มีสติ ให้สติตั้งมั่น คำว่า สติตั้งมั่นเราต้องฝึกว่า อยู่ตรงใด ครูบาอาจารย์ฯ จะสอนว่า ให้เอาสติไว้ที่ปลายจมูก ลมเข้าไปก็ให้รู้ ลมออกก็ให้รู้แล้วทีนี้ ต่อแต่นั้น เมื่อสติตั้งมั่น จิตก็ตั้งมั่น เมื่อสติตั้งมั่น แล้วต่อไป เราไม่ไปกำหนดอะไรมาก สติก็จะตั้งมั่นที่ปลายจมูกเหมือนเดิม เมื่อเราหายใจเข้าไปปั๊บ สติก็มาทันที พร้อมกับภาวะธรรม เพราะเราฝึก เรียกว่า เรามั่นคงแล้ว มีสติมั่นคง ทีนี้เราหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว หรือ หายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น อย่างไร สติ เราก็มีสติ นี่เรียก สติมั่น สติคงที่
เพราะฉะนั้น ผัสสะจึงมีอยู่ว่า ให้มีสติตั้งมั่น ให้มีสติมั่นคง และ ให้มีสติคงที่ มันก็อยู่ในแนวเดียวกันนั่นแหละ ฝึกสติของเรา กำหนดลมหายใจเข้า กำหนดลมหายใจออก เท่านั้น ทีนี้เมื่อเราได้อย่างนี้ ภาวะธรรมใดๆมันจะเกิดขึ้นนั้น ถ้าเรานับยังไม่ครบ ไม่ต้องไปพะวง มันจะเกิดขึ้นก็เกิดไป นับอย่างเดียว จดจ่อ จดจ้องอยู่การนับอย่างเดียว นั่นเรียกว่า สร้างอย่างใดอย่างหนึ่งให้มันเกิด แล้วสติตั้งมั่น สติมั่นคง สติคงที่ ก็จะสมบูรณ์ ทีนี้เมื่อสติตั้งมั่น สติมั่นคง สติคงที่แล้ว จิตก็ตั้งมั่น จิตก็มั่นคง จิตก็คงที่ เมื่อเราทำได้อย่างนี้เรียกวา “สติปัฎฐาน” สติมันตั้งอยู่ในฐานได้ ระลึกเมื่อไหร่ ก็ได้
ทีนี้เมื่อเราถอนหายใจปั๊บ ภาวะเหล่านี้ มาทันที ให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา นี่คือ การฝึกสติ ทีนี้ เราต้องการที่จะบังคับให้นั่งได้เป็นชั่วโมง ก็นับหกร้อยครั้ง หรือ เราจะเอาหนึ่งในสี่ มันก็สิบห้า ร้อยห้าสิบครั้ง ได้หนึ่งในสี่ ได้สิบห้านาที ก็ไปนั่งอยู่ในห้องพระ กำหนดเวลาเลย ว่าเราจะนั่งอยู่กี่นาทีให้เป็นเวลาบุญทันที เป็นบุญฤทธิ์อ่อนๆ แล้วมีสติอย่างนี้ อะไรจะตามมา วิริยะตามมา ทีนี้สองตัว ทั้งสติกับวิริยะ ให้มันเข้ากัน มั่นคง บังคับด้วยการนับ เรานับสามร้อยครั้ง ใครนับได้บ้าง จะนับหกร้อยครั้งค่อยว่ากัน
ขึ้นมาให้เราได้ปีติ มันก็จะทำให้เรานับไปได้ แต่ว่าฝึกบังคับให้สามร้อยครั้ง อันนี้เป็นภาคบังคับ นี่ก็วิริยะก็ตามมา สองอันนี้สมาธิเกิดทันที เมื่อมีสติ ก็มีสมาธิ สมาธิเกิดขึ้นทันที แม้เราจะทำการทำงานอยู่ หายใจเฮือกสองเฮือกก็มาแล้ว ภาวะธรรมเหล่านั้นมา ก็คือ สติ ก็คือ สมาธิ ตั้งใจทำการทำงานใดๆ เมื่อสมาธิมา แนวความคิดเกิดขึ้นแล้วทีนี้ เพราะจิตมันนิ่ง คือ ปัญญา ทีนี้เมื่อปัญญาเกิดขึ้นมา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นมาพร้อมศรัทธา ศรัทธาเกิดขึ้น เมื่อเราเกิดปีติ พอเราเกิดปีติเกิดขึ้นกับสุขเกิดขึ้น ศรัทธาก็จะมา แต่ศรัทธาก็ยังไม่มั่นคง เราฝึกสติของเราอย่างเดียวกับใช้ปัญญาพิจารณา หาเหตุหาผล ทีนี้ปัญญาตัวนี้แหล่ะ มันมีเหตุขึ้นมา ผลก็จะตอบแทนของมัน เราตั้งจุดขึ้นมา ความเฉลยก็จะเกิดขึ้นจากจิตที่เราฝึกดีแล้ว จากที่เรามีสติ ตัวเฉลยมันก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา แต่บางทีถ้าเราไปไปสงสัยมาก วิจิกิจฉามาก ตัวนั้นแหล่ะจึงต้องไปหาครูบาอาจาร์ยฯ แต่ถ้าเราไม่ติดใจ ไม่คิด เราฟังคำว่า อย่าไปสงสัยเกินไป อย่าให้มีวิจิกิจฉาเกินไป มันก็จะไปของมันเอง มันอยู่แค่นี้
ทีนี้เราฝึก เราได้อะไรบ้าง เราได้สติ สตินทรีย์มาแล้ว วิริยินทรีย์มาแล้ว สมาธินทรีย์เกิดขึ้น ปัญญินทรีย์ ต้นกล้าแห่งปัญญามันก็จะผุดขึ้นมา นั่นพอมาถึงจุดนั้น จะเกิดความคิด แล้วก็ศรัทธินทรีย์มันก็มาพร้อม อินทรีย์ห้า อินทรีย์คือ ศรัทธา อินทรีย์ คือ วิริยะ คือ ความพากเพียร อินทรีย์คือสติ อินทรีย์ คือ สมาธิ และ อินทรีย์ คือ ปัญญา ตัวเอกที่สุด คือ สติ กับ วิริยะ สองตัว ถ้าสติกับวิริยะบวกกัน ก็จะเกิดสมาธิ แล้วก็จะเกิดปัญญา ตามมาด้วยศรัทธา ทีนี้ถึงบอกว่า ให้ใช้วิธีนับ วิธีนับนั้นเป็นการดึงวิริยะให้มันอยู่ ถ้านับไม่ครบ เราจะไม่หยุด ก็กลายเป็นสัจจะ ทีนี้เป็นการบำเพ็ญสัจจะไปด้วย เนี่ยเต็มไปหมดเลย เพียงแต่มีสติอย่างเดียวได้หมด ครบไปหมด แม้กระทั่งโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ข้อ
บางคนบอก โอ้ย จะไปประพฤติปฏิบัติได้อย่างไร มีอะไรบ้าง มีสติปัฎฐานสี่ แล้วก็ปธาน คือ ความเพียรสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด มรรคมีองค์แปด รวมอยู่ในการนั่งภาวนาอาสนะเดียวหมด แค่นั้นเอง พอไปถึงก็ อ๋อ! ขึ้นมาทันที ธรรมต่างๆจะหลั่งไหลขึ้นมา ที่เราเคยสั่งสมมา เคยศึกษาเล่าเรียนมา แต่ละคนได้รับประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน และ อาชีพการงานมาไม่เหมือนกัน ก็เลยเข้ามาในสมอง ก็กลายเป็นปัญญากลั่นกรองเอา มีสติตั้งมั่นมันกลั่นกรองเอง เราไม่ควรบ้า ควรใบ้ ควรบอด ควรหนวก เราไม่เสียสติมนุษย์ มีสติสัมปชัญญะ ทุกคนมีแนวความคิด เมื่อฟังแล้ว ก็คิด บางคนก็คิด ไม่เหมือนกัน แต่ก็ไปลงในแนวเดียวกันหมด เพราะต้องการพ้นทุกข์ ความการพ้นทุกข์ก็คือ ไม่แบก ต้องการมีสัมมาอาชีพก็เดินไปบนเส้นทางที่สุจริต ไม่ผิดทั้งคดีโลก ทั้งคดีธรรม ก็มีแนวความคิด ก็คิดตามกันคนละแบบตามประสบการณ์ ตามสภาพแวดล้อม เราอยู่สภาพแวดล้อมอย่างไร
เมื่อก่อนเราเคยอยู่ตึกอมรินทร์ ชั้นยี่สิบสอง กว้างขวางใหญ่โตมโหฐาร แต่เดี๋ยวนี้มาอยู่ตึกชั้น 25 สูงกว่านั้นอีก จะเล็กก็ไม่เป็นไร แต่ว่าสูงกว่านั้นอีก มองได้กว้างไปอีก นี่ก็มีความคิดอีก ความคิดมันก็เกิดขึ้นอีก มันพัฒนาไปเรื่อยๆ มันอยู่ที่ตัวเรา จะคิดอย่างไร จะทำอย่างไร ก็ไปสู่จุดที่พ้นทุกข์ พ้นจากภาวะแบกทุกข์ทั้งนั้น มันอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้น หนึ่ง เราไม่ผิดศีลธรรม สอง เราไม่ประพฤติไปในทางที่เป็นการสังคมเขาไม่ปรารถนา และ ปัจจุบัน ถ้าเรามายืนอยู่ในจุดนี้ เราเป็นผู้นำสังคมในฝ่ายเสริมสร้างศีลธรรม ก็เกิดขึ้นกับพวกเรา กลุ่มของพวกเราทั้งนั้น กลุ่มของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ ก็ทัวร์ธรรมะ มีศีลธรรม ใครไประดับไหนก็ตาม บุคคลเหล่านั้นก็ไปหาครูบาอาจารย์ฯ คบครูบาอาจารย์ฯ ศึกษาธรรมะ หรือ ไปในที่ต่างๆ เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่จุดนี้ มีสติ ไปไหนมาไหนมีสติอย่างเดียวแล้ว
เพราะฉะนั้นอยากจะอ่านโพธิปักขิยธรรม ภาคทฤษฎีก็มีหนังสือของมันมี มีบอกอยู่แล้ว หรือ เปิดไปในกูเกิ้ลอะไรก็แล้วแต่ โพธิปักขิยธรรม มีอะไรบ้าง มีวิธีปฏิบัติมีอย่างไรบ้าง เปิดเข้าไป สรรพวิชาต่างๆมันมีอยู่หมด ในโลก มีให้เราพร้อม เราเกิดมาในยุคนี้ สามารถที่จะบรรลุคุณธรรมในชาติปัจจุบันนี้ได้ เพียงแต่เปิดเข้าไปแล้ว เรามีกัลยาณมิตร กัลยาธรรมที่ดี กัลยาณมิตรคือ พวกเรารวมตัวกันในจุดของเรา คุณดนัยก็เป็นกัลยาณมิตร เป็นสะพานบุญ ทีนี้ กัลยาณธรรม อาศัยครูบาอาจารย์ฯ เป็นทั้งกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม เราถูกจริตนิสัย หรือ ไปฟังธรรมะแล้วเข้าใจง่าย ก็ดำเนินตามนั้น ไม่ต้องไปยึดติด แต่ว่าเอาแนว ครูบาอาจารย์ฯท่านไม่ให้ยึดติด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ยึดติด
แม้แต่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ก็บอกกับพระอานนท์ว่า ธรรมและวินัยนั้นเป็นพระพุทธเจ้าแทน ไม่ได้เอาตัวพระองค์ เพราะตัวพระองค์หมดไปแล้ว มันก็คือ ธรรมวินัย ที่จะเป็นที่รองรับ และยั่งยืนต่อไป อยู่ในจุดนี้ เพราะฉะนั้น มีสติ อาตมาก็ฝึกสติ มันเป็นสติปัฎฐาน อันนี้พิจารณากาย มันก็ง่ายขึ้น พิจารณาเวทนา จิต ธรรม โอ้ย! เราก็มาแล้ว เราก็นั่งภาวนามาแล้ว มันก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด จะพิจารณาเหล่านี้ ทั้งหมด สามสิบแปดข้อ นั่งเพลิน ถ้ามันได้ก็นั่งเพลินทีเดียวทางด้านปัญญา เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้ทำทางเดินจงกรม เดินไป เดินมา เดินไปเดินมา พิจารณา ก็สัทธรรมเหล่านี้ไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี