พระอธิการบุญส่ง หรือ “หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร” เจ้าอาวาสวัดสันติวนาราม ตำบลเขาวงกต อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี เมตตาเป็นองค์แสดงธรรมในหัวข้อ “ธรรมะคิหิปฏิบัติ-ธรรมอันเป็นข้อปฏิบัติของฆราวาสครองเรือน” ที่ “บ้านลานเสียงธรรม” ซอยลาดพร้าว 71 กรุงเทพมหานคร “แนวหน้าออนไลน์” นำบางส่วนของเนื้อหาธรรมเทศนามาให้อ่าน ดังนี้
...หรือไม่กระโดกกระเดก ไม่กระด้างกระเดื่อง ให้เป็นที่ประจักษ์ในสายตาของบัณฑิต นี้สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นการดำรงชีวิตแต่ละชีวิต จำเป็นที่เราจะต้องเร่งรัดพัฒนาจิตใจของเรา ให้มันทันกับวันเวลานาทีซึ่งไม่มากนัก เราเกิดมาชาตินี้ ไม่ถึงร้อยปีก็จะยากแก่การที่จะทำให้มันสำเร็จลุล่วงไปได้ เพราะว่าร่างกายของเรานั้น มันอยู่ไม่นาน ล่วงกาลและเวลาแล้วก็ใช้อะไรไม่ค่อยได้แล้ว ถ้าจิตใจฝึกเอาไว้ไม่ดีเพียงพอ ไม่มั่นคง ก็จะทำให้เรานั้นยากแก่การจะควบคุม มีสติไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ถ้าเรามีสติเพียงพอ ไม่ว่าเราจะก้าวสู่สังคม สมาคมใด เราก็จะรู้สถานที่นั้น ณ ขณะนั้น เขาทำอะไรอยู่ ถ้าเขาสิ่งที่มันสมควรแก่ความสงบ เราก็ต้องสงบ เข้าไปเราต้องรู้ มีสติ มีปัญญาเพียงพอที่เราจะก้าวสู่สังคม สมาคมนั้น จึงจะไม่ทำให้เราเสียมารยาท ชาติตระกูล ในความก้าวเข้าสู่สังคม สมาคมนั้นๆ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกหัดปฏิบัติธรรมแล้ว จำเป็นจะต้องมีใช้ ในการเคลื่อนไหวไปมาด้วยสติสัมปชัญญะ หรือ สมาธิ ปัญญา ควบคู่กันไป
ถ้าสติเราดี สมาธิก็ดี ไม่ช้าไม่นาน สิ่งที่เกิด ก็จะก่อให้เกิด “ปัญญา” รู้และเข้าใจ ทางเสียงเราก็รู้ จะต้องใช้ยังไง สำหรับเรา เข้าสังคม สมาคมนั้น ทางกายเราก็รู้ว่าจะต้องดำเนิน เราจะก้าวเข้าสู่สังคม สมาคมนั้นอย่างไร เราก็จะได้รู้จักการใช้กาย ใช้วาจา อันที่ปรากฏแก่โลก และ สายตาบัณฑิต ผู้มีความรู้ มีความเข้าใจ เขาจะได้ไม่ตำหนิติเตียน เพราะฉะนั้นการที่เราเข้ามาสู่สถานที่ฟังเทศน์ฟังธรรม คือ ว่าเราเข้ามาปฏิบัติจิตใจให้มันรู้ รับรู้ และ เข้าใจในเหตุผลต่างๆที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เช่น กัมมัง สัตเต
กัม (กรรม) คือ การกระทำ อย่างที่กล่าวไปแล้ว กรรมทางกายเรียกว่า กายกรรม กรรมทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม นึกคิดอยู่ในใจก็มโนกรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเราฝึกจิตไว้ดีแล้ว ก็ยากที่เราจะพูดอะไรที่มันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนเองและสังคม เพื่อนฝูง ครอบครัว
เพราะฉะนั้น โบราณบัณฑิตจึงได้กล่าวเอาไว้ว่า สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อตระกูล นี่สำคัญที่สุด กริยาต่างๆนี้แหละ มันเป็นที่มาของตระกูล ตระกูลสูง ตระกูลต่ำ คนตระกูลสูงก็ใช่ว่าจะต้องเกิดในตระกูลที่มีชื่อมีเสียงอะไร แม้คนตระกูลต่ำก็ทำจิตให้มันสูงขึ้นก็ได้ ด้วยการฝึกหัดปฏิบัติตัวเราเองให้รู้ และ เข้าใจ ในสิ่งต่างๆ ที่เราจำเป็นจะต้องเร่งรัดปฏิบัติจิตใจของเรานั้น ให้มันทันกับกาลเวลาและลมหายใจที่มีอยู่ ซึ่งมันจะหมดลงวันหนึ่ง เวลาใด เราก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ เพราะเรายังไม่มีฌาน ญาณ หรือ เรายังไม่อยู่กับจิตกับกายของเรา อย่างแท้จริง เราจึงไม่รู้ความเปลี่ยนแปลงทุกระยะ ถ้าเราอยู่กับกายกับใจของเราจริงๆแล้ว เราจะรู้ว่า เวลานี้ จิตใจของเรา มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร กายของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราจะได้รู้ เราก็จะได้รู้จัก รู้วิธี รู้เวลากายใกล้เข้าไปแล้วน่ะเรา เท่าไหร่แล้ว
ตอนนี้ เตือนใจเราเอง เดี๋ยวนี้มันแปดสิบกว่าปีแล้วน่ะ เหลือเวลาอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หรือว่า เรายังอยู่ปฐมวัย มัชฌิมวัย เราก็ต้องรู้ตัวเรา ว่าเราอยู่วัยไหน หรือ ปัจฉิมวัย เราจะมาผลัดเพี้ยน อิดเอื้อนอยู่ไม่ได้ กับกาลเวลาเหล่านี้ จำเป็นจะต้องใช้เวลานาทีที่ผ่านไปนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด อย่าให้มันสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเวลาของเรา มันใกล้เข้าไปทุกที แม้ว่าเราจะอยู่ในปฐมวัยก็จริง แต่ก็ไม่เห็นว่า เขาจะกำหนดว่า คนเราจะต้องแก่ตาย เด็ก หนุ่ม สาว ก็เห็นเผากันไม่เว้น ไม่ว่างเว้น จนกระทั่งคนแก่ เพราะฉะนั้น เราจำเป็นที่จะต้องระวังตัวเราเอง รักษาใจเราเองให้มันมีความผ่องใสอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าจะกระทบสิ่งใดๆ ก็ต้องรู้จักทำใจของเรา ให้มันเข้มแข็ง ผ่องใส
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร ท่านสอนให้เรา ให้รู้เท่าทันกิเลส 3 อย่าง ความโกรธ ความโลภ ความหลง ทิฐิ มานะ ตัณหา อุปาทาน เจ็ดอย่างนี้แหล่ะ เป็นชื่อแห่งอกุศลธรรม ใครทำก็จะเป็นกรรมของคนผู้นั้น ความโกรธ ท่านบอกให้เราชนะอย่างไร เราต้องชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ใครว่าอย่างไร ใครจะตำหนิอย่างไรก็ช่างเถอะ เพราะเราปฏิบัติจิตใจได้ดี เรารู้แก่ใจได้ด้วยตัวเราเอง เรารู้แก่ใจว่า
เราเนี้ยะ! มีความดีแค่ไหน แล้วก็มีความเลวแค่ไหน เราก็ต้องรู้แก่ใจเราเอง ใครจะด่าจะว่าอย่างไร เขาว่าถูก เราก็โมทนาอยู่ในใจ ไม่ต้องแสดงกริยาออกมาภายนอก เขาว่าเราผิด เราก็อย่าไปโต้เถียง อย่าไปใช้ทิฐิ ใช้ความโกรธตอบโต้ออกไป ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้อย่างนั้น
ท่านให้เราใช้ เขาโกรธมา เราต้องไม่โกรธตอบ โกโธสัทธะ อักโกเทนะ ชิเน โกธัง ชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ เห็นไหมพระพุทธเจ้าสอนยังไง ทำไมเราทะเลาะกันทุกวัน ทะเลาะกันจนบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะอะไร เพราะโกรธมา เราโกรธไป ไม่ได้ปฏิบัติตามโอวาท ตามคำสอนของพระบรมศาสดา หรือ ว่าศาสนาของเจ้าของเอง สอนอย่างไร แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม
ถ้าเราปฏิบัติตาม แล้วไฉนเราจะต้องมาโกรธกัน มาด่ากัน มาทะเลาะกัน ไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน อักโกเธนะ ชิเน โกธัง ชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ เขาด่ามาก็นั่งเฉย ด่ากี่คำก็นั่งเฉย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ถ้าเราไปโกรธเขาอีกคน เราโกรธตอบไปเนี่ย ให้เราคนโกรธทีหลัง เลวกว่าคนโกรธก่อนอีก พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนี้ คนโกรธทีหลังเลวกว่าคนโกรธก่อน
เราจะชนะคนไม่ดี เราจะเอาสิ่งไม่ดีเอาไปด่าเขา ไปเอาชนะเขา ไปสอนเขา เขาไม่เชื่อหรอก เพราะว่าเราไม่ได้มีจิตใจเหนือกว่าเขา เขาทำไม่ดี เขาทำเหตุที่ไม่ดี มันของไม่ดีอยู่แล้ว เราก็เกลียดอยู่แล้ว เหตุไฉนล่ะ เราทำไม่ดี ก็อยู่ในกองอกุศลด้วยกัน ถ้าเราโกรธเขาแล้ว เราไปด่าเขา จะให้เขาดีขึ้นมา มันดีไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น อสาธุง สาธุนาชิเน พระพุทธเจ้าท่านสอน สอนให้คนเรา ตอบโต้อย่างไร อย่างบางคนที่ไม่ดี อสาธุง สาธุนาชิเน จงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี ไม่ใช่เอาความไม่ดีไปชนะ ไม่ได้หรอก จะต้องเอาความดีไปชนะความชั่ว ท่านบอกอย่างนั้น
ถ้าหากว่าเราทำอย่างนี้ได้ ก็เราก็จะไม่เกิดเรื่องเกิดราว จะไม่ต้องด่ากัน เถียง แล้วก็จะไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน อยู่ด้วยกันด้วยความเมตตา สงสาร เห็นใจกัน ยิ่งพิจารณาเห็นความเป็นอยู่ของเราแล้ว ทุกวันนี้ใช่ว่าจะอยู่ในความอิสระ หรือ จะอยู่ในโลกแห่งความอิสระกันทุกคน พิจารณาแล้วทุกคน มาติดคุกแท้ๆเลย มาอยู่ในโลกนี้ มาติดคุกอยู่ร่วมกัน ตั้งแต่ยาจก วณิพก เข็ญใจ จนถึงคหบดี เศรษฐี พระราชา ต่างก็ตกอยู่ในคุกด้วยกันเท่านั้นเอง คุกเดียวกัน
เมื่อเรามารู้อย่างนี้แล้ว เราอย่ามาทะเลากันเลยดีกว่า เสียเวร่ำเวลา ชีวิตที่มันจะไม่ได้สู่จุดหมายปลายทางแห่งความหลุดพ้น หรือ ถึงความสุขสงบร่มเย็น นี่แหละ มันสำคัญ สำคัญที่สุดล่ะ คนเราเมื่อยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าที่ไหน ยังไม่รู้ ยังไม่มีสติเพียงพอว่า ที่นี่สถานที่นี้คือที่ไหนที่ใด เหมือนเรามาก็ไม่รู้ว่า ที่นี่เขาทำอะไรกัน เขานั่งกันอย่างสงบเงียบ ถึงเราจะพูดอะไรก็ต้องพูดค่อยๆ พูดกันพอได้รู้ความ ไม่ต้องแสดงถึงความมีอำนาจบาตรใหญ่ในใจ ในการแสดงของเรา มันเป็นการเสียมารยาท ทำจิตใจเราเศร้าหมองเปล่าๆ มันหาความเจริญไม่ได้หรอก รู้แล้วยังไม่มีปัญญา รู้แล้วยังหาแต่เรื่องบาปๆ มาใส่ใจ ตาก็หาบาปมาใส่ใจ หูก็หาบาปมาใส่ใจ มันจึงทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ชาตินี้ทั้งชาติก็จะหาทางออกจากกองทุกข์ไปไม่ได้ ค้นไปถึงความศิวิไลซ์ของชีวิตก็ยาก เพราะฉะนั้น นี่ มันเป็นสิ่งที่เราจะได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แจ่มชัด กับกาลเวลาที่เรามีลมหายใจอยู่นี้ รีบๆขวนขวาย อะไรยังไม่มี
ความโกรธเรายังมี เราก็ต้องรีบทำให้มันเบาลง หรือ หายไปในที่สุด แต่ถ้าความโกรธมันมี มันโกรธขึ้นแล้ว อะไรจะตามมาอีก อีกสี่อย่าง จะตามมา โกรธขึ้นแล้ว ก็ “ทิฐิ” จะตามมา พอ “ทิฐิ” มาแล้ว อะไรตามมาอีก “มานะ” ถือตัวถือตน หยิ่งยโสไปต่างๆนานา โดยไม่รู้สึกว่า เรานี้จะต้องกำลังเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน บนจุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่ก็ยังมาทำโอหัง สาธุ สาอะไรก็แล้วแต่ มันไม่เป็นบุญหรอก ถ้าใจของเราไม่เป็น “กุศล” ให้พูดดียังไงก็ไม่เป็นกุศล ถ้า “จิต” ของเราดี พูดออกมามันก็ดี หรือ ไม่พูดเลย ก็ยิ่งดีใหญ่ คนเราถ้าโกรธแล้ว ไม่แสดงออกเลยยิ่งดีใหญ่เลย เขาเรียกว่า “ชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ” ใจของเราก็ไม่เศร้าหมอง ผ่องใส ตลอดเวลา เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น คนกระทบสิ่งใด ทางหูก็ดี ทางเสียง ทางตา ก็ดี รูป ทางจมูกก็ดี กลิ่น ทางลิ้นก็ดี รส ทางกาย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง คือ การสัมผัสต่างๆเหล่านี้ ทางใจของเราก็มีสติเพียงพอที่เราจะควบคุม ขับเคลื่อนชีวิตของเราให้สู่จุดหมายปลายทางแห่งความปลอดภัยตลอดเวลา ถ้าคนเรามีสติ แม้จะขับเคลื่อนร่างกายตนเอง ก็ไม่เหยียบน้ำตำตอง งูเงี้ยวเขี้ยวขอ ก็ไม่สามารถจะขบกัดเราได้ เพราะเราเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องเอา “สติ” มาใช้ ต้องไม่มี “สติ” เพียงพอ เดินหน้าไปก็อาจจะเหยียบหนามได้ เพราะได้แต่เดินอย่างเดียว ไม่มี “สติ” ควบคุมการขับเคลื่อน เหมือนเราใช้ยานพาหนะเหมือนกัน ถ้าเราใช้ยานพาหนะที่ไม่ได้ควบคุมอย่างเต็มที่ ไม่มีสติเพียงพอ เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุ เดี๋ยวก็ลงข้างทาง เดี๋ยวก็ชนก้นกัน เดี๋ยวก็ชนกันตลอด อุบัติเหตุเกิดตลอดเวลา ถ้าขาดสติ
เพราะฉะนั้น จำเป็นที่จะต้องฝึกจิต ฝึกใจของเราให้มี “สติ” เพียงพอ ต่อการขับเคลื่อน ชีวิตของเรา มีความอดทนเพียงพอ ในการที่จะอดกลั้นกับสิ่งกระทบ ทางหู ทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่างๆเหล่านี้ แล้วก็มีความรู้เท่าทัน รูปที่ปรากฏขึ้น รูปที่ปรากฏขึ้นนั้น ในสายตาเรา เรายังจะเชื่อไม่ได้ว่า สิ่งนั้นจะเป็นของดีจริง เรายังไม่รู้ว่า พิษภัยมันแอบแฝงมาในรูปนั้นอีกสักเท่าไหร่ ถ้าเราเห็น เราต้องฟังเฉยๆ พิจารณาด้วย “จิตใจ” ที่เป็นธรรม พิจารณาด้วยจิตใจที่มองในแง่ดี เสียงก็เหมือนกัน กระทบมาปั๊บ เราก็ต้องฟังแล้ว มันเป็นเสียงชนิดไหน แล้วเราจะได้รู้จักปรับจิต ทำใจของเรา เข้าสู่สมาคม สังคมได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าขั้นต่ำสุด เราก็ต้องเข้าถึงจิตใจเขา ยาจก วณิพก เข็ญใจต่างๆ เหล่านี้ เขาก็จะได้เหลื่อมใส นับถือ เราก็ต้องเอาให้ได้หมด ทั้งต่ำสุด จนกระทั่งสูงสุด เราต้องก้าวเข้าได้หมด ถ้าเรามีสติปัญญาเพียงพอต่อการฝึก เอาไว้ใช้ในทุกกาลทุกสถานที่ มันจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนที่น่ารังเกียจในสังคม
อันนี้สำคัญที่สุด! ธรรมะมีไว้อย่างนี้น่ะ ไม่ใช่มีเอาไว้สำหรับคุยกัน โอ้อวดกัน มีเอาไว้ใช้ พูดก็ให้มีธรรมะ ทำก็ให้มีธรรมะ เคลื่อนไหวก็ให้มีธรรมะ ถ้าเราพูดไม่มีธรรมะ คำที่เราพูดออกมาก็จะฟังไม่ได้ ไม่มีเหตุผล และ มักจะเป็นคำพูดที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตน พอพูดออกมา หูฟังปั๊บ รู้ทันทีว่าไม่ถูกใจ นี้เอาหู เอาตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อวัยวะ ทั้งหมดเนี่ย เอามาควานหาความดีมาใส่ใจ อย่าหาความชั่ว ถ้าเรามี “สติ” แล้ว ตาเห็นปั๊บ เราก็จะได้รู้สึกทันที จิตใจเราก็จะได้รู้ กับสิ่งที่ตาเห็น เราก็จะได้แยกแยะออกว่า มันมีอะไรปนเปื้อนมาบ้าง ที่เราเห็นว่ามันดี มันสวย มันงาม เนี่ย จริงๆแล้วมันไม่ได้สวยงามตามที่ตาเห็น ถ้าเราใช้จิตของเราพิจารณาด้วย “สติ” ด้วย “สมาธิ” ด้วย “ปัญญา” แล้ว เราจะเห็นว่า ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เราจะได้ผ่อนคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เห็น ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรสต่างๆเหล่านี้ มันก็จะทำให้เราผ่อนคลายจิตใจของเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น คนพูดดี พูดไม่ดีก็ อย่าให้เขารังเกียจเรา โดยที่เราไม่แสดงกริยาทางวาจา ทางกาย เป็นที่กระทบสายตาของฝ่ายตรงข้าม อย่างนี้
นี่แหล่ะ สำคัญที่สุดเลย ทุกวันนี้ มนุษย์เราที่อยู่ไม่เป็นสุขเลยก็เพราะกิเลสมันมากขึ้นทุกที โลกร้อนขึ้นทุกวัน ร้อยปีเขาก็มากวาดเอาคนชั่วลงนรกที เรียกว่า โรคห่าลงกินคน พูดกันภาษาแบบหยาบๆ แบบสมัยก่อน โรคห่า โรคห่ามันกินคน พอเข้าใจไหม มันหากินมาตั้งแต่สมัยโลกเกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่สมัยพระศาสนาเกิดขึ้นเมื่อ สองพันกว่าปี มากี่ร้อยครั้งแล้วก็ไม่รู้ มาทีก็เอาโรคมาอย่างหนึ่ง มาทีก็เอาโรคมาอย่างหนึ่ง แรกๆก็เอาฝีดาษบ้าง อหิวาห์บ้าง แล้วก็มีโรคอะไรต่างๆ โรคหวัดโน้น หวัดนี้ จนกระทั่งมาถึง โควิด เป็นเหมือนกัน แต่เชื้อมันแรงกว่า เพราะมนุษย์เรามันเลวขึ้นทุกวัน โรคก็ต้องยิ่งแรงขึ้น ยาก็ต้องแรงขึ้น การเทศนาสั่งสอนมันก็ต้องให้มันทันกับโลกด้วย แต่ทีนี้การเทศนาสั่งสอนทุกวันนี้ก็ไม่ทันโลก บิดามารดาก็ไม่ทันกิเลสของลูก แล้วก็ไปโทษลูก เด็กสมัยนี้ดื้อย่างโน้น อย่างนี้ เชื่อไหม อาตมาไม่ได้โทษเด็ก โทษว่าผู้ใหญ่ฉลาดไม่ทันเด็กดื้อ ถ้าผู้ใหญ่ฉลาดทันเด็กดื้อ ทำไมเด็กจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราวางแผนดีๆเด็กทำไมจะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเด็กเขาเกิดมานี่ อย่าขัดใจอย่างเดียว เราเลี้ยงลูกก็เหมือนกัน อย่าขัดใจ ขัดใจจนเด็กกลายเป็นเจ้าอารมณ์ ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ทีนี้เราตามใจ ก็ต้องตามใจในสิ่งที่ควรตาม
ที่เราขัด ก็อย่าไปขัด พูดอย่าให้เขาเกิดความอึดอัด หรืออีกอย่างก็คือ พูดอย่าให้เขาเห็นว่า เราห้ามเขาไปซะทุกอย่าง เดี๋ยวเขาก็จะเกิดอัดอั้น เกิดแรงต่อต้านขึ้นมาทันที เด็กก็จะลำบากแล้วทีนี้ ไม่อยู่กับพ่อกับแม่ ไม่อยู่กับผู้สั่งสอนแล้ว ไปอยู่กับเพื่อนดีกว่า แล้วพากันเสีย เพราะเราไม่ให้เวลาเขา เห็นเงินทองดีกว่าลูก เข้ามากวนๆเล็กๆน้อยๆก็เอาเงินยัดๆให้แล้ว ไปให้พ้นหน้าพ้นตาไป ก็ไปกับเพื่อน นานๆเข้าก็โทษเด็กดื้อ โทษเด็กไม่ได้หรอก ถ้าเราดีตั้งแต่เลี้ยงเขามาดี ไม่มีที่ไหนเขาจะเห็นดีเท่าพ่อเท่าแม่หรอก ไปไหนๆก็กลับบ้านแล้ว มีแต่คนขัดใจไปที่อื่น กลับบ้านดีกว่า อยู่กับพ่อกับแม่สบายกว่า เด็กก็จะไม่พรากไปอยู่กับเด็กดื้อต่างๆ นี่ล่ะ อะไรหลายๆอย่าง
โรคโควิดต่างๆไม่ได้กลัว ไม่ได้เกรงหรอก เพราะโรคนี้มันเกิดจากความเลวทรามของมนุษย์ เมื่อมันเลวมากๆเข้า ร้อยปีก็เอากลับไปที หรือไม่เอากลับไปโรคนี้ก็จะเกิด คนอยู่ คนดีก็จะอยู่ได้ยาก อยู่ยากมาก จะมีแต่คนเบียดเบียนอะไรสารพัด เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็อย่าไปเร่งมันมาก ก็รู้แล้วว่า มากวาดคนชั่วไปนรก เราก็จะต้องรีบถอนตัวออกจากความชั่วร้ายต่างๆทันทีทีเดียว ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ เราก็จะรู้ง่าย เราก็จะรู้ว่า เนี่ย โรคโควิด มันมาจากความที่มนุษย์มันเลวทรามขึ้นทุกวัน โรคร้อนขึ้นทุกวัน จะเป็นแผ่นดินไหวอะไรก็แล้วแต่เถอะ มาจากมนุษย์ทั้งนั้นแหละ นี่เขาเอาคนชั่วๆไปสักที ก็อยู่ไปได้อีกก็ค่อยๆดีขึ้นไปสักหน่อย ถ้ามาคราวนี้ มาสักหนึ่งในสามของคนบนโลก จะอยู่เป็นสุขไปได้อีกนาน
นี่ขนาดโควิดมากวาดไปแล้ว ตัวเองยังเร่งตัวเองเข้าไปอีก ทำความชั่วใส่ ต่อต้านกันสารพัด ตลอดจนกระทั่งดำรงชีวิตก็ยังเร่งตัวเองให้มันเร็วขึ้นกว่าโควิดซะอีก วันๆทุกวันนี้ โควิดกินไม่ทันความเลวของมนุษย์ที่ตายกันวันละไม่รู้เท่าไหร่ จากความประมาทพลาดพลั้ง
เนี่ยเราไม่ใช่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ได้เอานามธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ เราถือว่าธรรมะกับคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน ธรรมะก็อยู่กับคนตั้งแต่เราจำความได้ ได้ยิ่งดีใหญ่ ก็ต้องอยู่กับเราตลอดน่ะ อย่านึกว่าธรรมะไกลเรา หรือ เป็นอาหารเสริม ธรรมะนั่นล่ะเป็นอาหารหลัก เหมือนกับทางกาย เราก็มีข้าวมีน้ำเป็นอาหารหลัก ทางใจเราก็มีธรรมเป็นอาหารหลัก ทางใจ นี่พิจารณาดูให้ดีสิ แล้วเราจะรู้สึกว่า น่าเบื่อหน่าย ความผิดพลาดบกพร่องของเราที่มันไม่ฉลาดพอที่จะเห็น
สิ่งเลวร้ายที่มันแฝงมากับโลกอยู่ทุกวันนี้ เรามองดูให้ดีๆ เราจะเห็นชัดๆเลย แล้วเวลาของเราล่ะ จะเหลือสักเท่าไหร่ เราต้องไม่ประมาทกับกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นปฐมวัย มัจฉิมวัย ตลอดจนปัจฉิมวัย ยิ่งอยู่ปัจฉิมวัยเรายิ่งต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุด อย่าใช้ให้มันเสียไป ประมาทไปกับกาลเวลาเหล่านี้ ซึ่งมันไม่ก่อให้เกิดความก้าวหน้า มีแต่ทำให้ถอยหลัง เป็นมนุษย์แล้ว เราเป็นมนุษย์ดีที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าว่า เป็นสัตว์ประเสริฐแล้ว มีบุญมามากกว่าบาป แต่อย่างหนึ่ง อย่างน้อย อย่านึกว่ามันหมดบาปน่ะเป็นมนุษย์นี่ เรามีบุญมามากของเราจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ก่อนไอ้บาปมันยังรอเราอยู่ บาปส่วนน้อย มีส่วนน้อย รอๆ ยังตามเราไม่ทัน มาชาตินี้แล้วพระพุทธเจ้าบอก อย่าให้มันตามมาทัน จะให้มันตามเราไม่ทันได้ยังไง ก็หยุดซะสิ ความโกรธ หยุดมันซะ ความโลภก็หยุดมันซะ ความหลงก็หยุดมันซะ
ทำไมเราไม่ต้องโลภไม่ได้เหรอ ความรวย ไม่โลภ กลับจะรวยยั่งยืนซะด้วย พระพุทธเจ้าเอาอะไรมาให้ทีแรก เอาศีลห้ามาให้ ถ้าบอกว่าจะเชื่อพระองค์ เอาศีลห้าไป ตลอดชีวิต รับรองไม่ยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ไม่มีหรอก นานๆไปเดี๋ยวก็เข้าถึงศีลแปด เดี๋ยวก็เข้าถึงศีลสิบ สามเณร พระก็เข้าถึงศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด เมื่อเห็นคุณค่าของธรรมะ ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งมองเห็นความละเอียดอ่อนของธรรม ทำให้จิตใจเรามีความสุข ชีวิตเราอยู่อย่างมีความสุข ไม่ต้องอยู่กันอย่างชนิดว่าหาแก่นสารสาระอะไรกันไม่ได้เลย ชีวิตไม่มีความปลอดภัยต่อทรัพย์สิน แล้วชีวิตไม่มีความปลอดภัย แม้จะมีเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีกฎหมาย กฎอะไร ก็แล้วแต่ สู้กฎแห่งกรรมไม่ได้หรอก
กฎอะไรทั้งหมด สู้กฎแห่งกรรมไม่ได้ กฎหมายตั้งขึ้น กฎแห่งกรรม เราก็ตั้งขึ้น ด้วยตัวเราเอง จะได้ดีมีสุขกันทุกหย่อมหญ้า อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่ตัวคนอื่น ไม่ใช่ผีสางเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา ไม่ใช่ มันเป็นเวรกรรมของเราเองที่มาทำลายตัวเอง เหมือนกับว่า เราทำอะไรลงไป เราก็ต้องได้รับผลที่เป็นของเราเอง ต้องได้รับผล ทำดีก็ต้องได้รับผลดี ทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว แน่นอน ไปให้คนอื่นไม่ได้หรอก หรือ จะไปให้คนอื่นโดยวิถีกรรม โดยอาศัยหมู่มาก แล้วก็ไปเหยียบย่ำ ไปเอาเวรกรรมให้กับคนๆนี้ มันไม่ได้ ได้เฉพาะกรงานข่มขู่เท่านั้นแหละ แต่ความจริงแล้ว กลับเป็นบาปกับผู้เหยียบย่ำ ซ้ำเติมเขาซะอีก เนี่ย ขอให้เราพิจารณาเห็นจากความเป็นจริง แล้วก็จะถอนใจเราออกจากสิ่งต่างๆนี้ แม้ลูกก็ไม่เถียงแม่ แม้ภรรยาก็ไม่เถียงสามี แม้สามีก็ไม่เถียงภรรยา ต่างคนต่างเมื่อมีคำพูดอันใดที่จะก่อให้เกิดความหนักขึ้นแล้ว ต่างก็ต่างอภัยซึ่งกันและกัน ต่างได้ซึ่งหทัยของพ่อ ของแม่ ของลูก
นี่ธรรมะฝ่ายฆราวาสครองเรือน เรียกว่า ธรรมะคิหิปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด ตั้งแต่ปฐมวัย มัชฌิมวัย จนกระทั่งมุ่งสู่ความหลุดพ้น พระนิพพาน ท่านก็วางหลักธรรมไว้ขั้นละเอียดอ่อน ลึกซึ้งขึ้นไป มันจะค่อยๆบริสุทธิ์หมดจดขึ้นไปตามลำดับ เมื่อเราไม่ลุศีลห้า ไม่ล่วงศีลห้า ไม่ล่วงศีลแปด นานๆเราก็รักษาศีลแปด ศีลพรหมจรรย์ ศีลอันนี้นำเราไปสู่มรรคผลนิพพานด้วย รักษาไปเรื่อยๆ ส่วนทานบารมี เราก็ทำทุกวันๆ ทานบารมี เปิดโรงทานบ้างอะไรบ้าง นั่นล่ะ เป็นหนทางไปสู่เศรษฐี คนรวยอย่างน้อยๆ ก็เป็นคนรวยไปก่อน ต่อไปก็เป็นเศรษฐี เป็นอัครมหาเศรษฐี เป็นเศรษฐีประจำตำบล ประจำอำเภอ ประจำหมู่บ้าน ประจำประเทศ และ เศรษฐีใจบุญเหล่านี้แหล่ะ เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง ยากเข็ญอะไรขึ้นมา เขาก็จะไปเปิดโรงทาน อันนี้ รวยมาจากทานบารมีที่ได้สะสม คนที่ไปเปิดโรงทานบ่อยๆ คนพวกนี้ มุ่งหน้าไปสู่ความเป็นเศรษฐี เป็นคนรวย อานิสงส์ ถ้าให้ทานประจำวันก็เป็นส่วนหนึ่ง ทำให้เราไม่อดอยาก ยากแค้น ปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งหลาย
ทำไปเถอะ! บุญน่ะ มีไว้ใช้ ชาตินี้ก็ไม่หมดด้วย เราต้องมีสมบัติสองกอง ทุกวันนี้ต้องให้มีสองกอง กองในเรียกว่า “อริยทรัพย์” กองนอกเรียกว่า “โลกียทรัพย์” อริยทรัพย์เราเอาไปได้ แต่โลกีย์ทรัพย์เอาไปไม่ได้ เราเปลี่ยนโลกียทรัพย์มาเป็น “อริยทรัพย์” คนมีปัญญา คือ การให้ทาน เอาไปทำประโยชน์แก่ศาสนาที่จะก่อให้เกิดเป็นผลบุญ มันเป็นสิ่งที่ตอบแทนมาโดยไม่เห็นตัว แต่มีอานุภาพ มีพลัง ถ้าเรามีโลกียทรัพย์อย่างเดียว มีโอกาสหมด โอกาสสิ้นเนื้อประดาตัวมันง่าย ถ้าเราไม่มีโลกียทรัพย์ โลกียทรัพย์เป็น
พูดถึงว่า ถ้าสติ มันก็มีสติเพียงพอ สมาธิ จิตใจหนักแน่น มั่นคงเพียงพอ ปัญญาก็มีความเฉลียวฉลาด ละเอียดอ่อน เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว จับมาใคร่ครวญพิจารณากลั่นกรอง มีอะไรมาแทรกบ้างในเสียง มีอะไรมาแทรกบ้างในรูป เราจะได้แยกแยะออกมาให้เห็นความเป็นจริง เราก็เชื่อ เชื่อโดยชนิดว่า ได้เห็นแยกแยะแล้ว เข้าใจแล้ว ให้เหตุผลต่างๆ จึงยอมเชื่อ
อย่างพระพุทธเจ้าท่านสอนเราเนี่ย ท่านสอนๆเสร็จแล้ว ท่านไม่ได้บอกให้เราเชื่อหรอกน่ะ ท่านให้พิจารณาก่อน ปฏิบัติดูก่อน เห็นว่าคำสอนของพระพุทธองค์ ปฏิบัติไปแล้ว ทำให้เรามีความสุข มีความสบาย มีความก้าวหน้า เชื่อเถอะ อันนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ทำไปแล้ว ทำๆไป ถูกโกงวจี อันนี้คำสอนของพวกพญามาร ทำให้เราหลง เมื่อเรายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ในจิตใจเราเนี่ย จะถูกมารพวกนี้หลอกลวงได้ง่าย เพราะฉะนั้นขอให้ใจอย่างนี้ เราก็จะได้รู้วิธีการปฏิบัติจิตของเราตลอดเวลา
เมื่อเรามีเวลา โอกาส จะปฏิบัติได้ เพราะทั้งวันเนี่ย เราไม่ได้ทำภารกิจทั้งวัน มันต้องมีช่องว่าง ช่องว่าง ตรงนั้นล่ะ เอามาใช้ หรือ ขณะที่เราทำงาน เอาธรรมะมาใช้ในการทำงาน ก็ได้ ขอให้เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาเพียงพอ จับอะไรมาก็เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้นล่ะ ไม่ใช่ทำไป ก็รวยแต่บาป ตลอดเวลา ด้วยความโลภโมโทสัน แม้จะได้เงินมามาก แต่กิเลส ได้มาด้วยกิเลส หลอกเขามา ลวงเขามา ฉ้อฉลมาต่างๆ นี่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความสุขแท้จริงหรอก กินเข้าไปก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนทางร่างกาย สิ่งนั้นได้มาด้วยความทุจริต เอามาสร้างเรือนชานบ้านช่อง ก็หนีไม่พ้นอัคคีภัย วาตภัย จนถึงปฐพีภัย
เดี๋ยวนี้ เนี่ย มองให้มันเห็นความจริง เราจะรู้ว่า มันน่าขยะแขยง น่ารังเกียจ และ น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า ระเบิดปรมาณูเสียอีก นั่นตูมตามโครมครามลงมา ก็ได้แต่ร่างกายแหลกเหลวไป ถ้าความดีของเรายังมีอยู่ในจิต เราก็ไปสู่สุคติ ถ้าบุญเรามีก็ไปสู่สุคติ ถ้าบาปเรามีก็ไปสู่ทุคติ เพราะฉะนั้น ตลอดเวลาของลมหายใจเรามีอยู่ อย่าได้ประมาท สร้างแต่กรรมดีไว้เถิด ดีเล็ก ดีน้อย ดีปลาซิว ปลาสร้อย ค่อยสะสมไป อย่าได้จ้องเอาดีช้าง ดีม้า ดีปลาวาฬ เดี๋ยวนี้มันหายากแล้ว เดี๋ยวนี้ ค่อยสะสมไป แล้วก็จะค่อยๆโตขึ้นเอง ก็จะเจริญ อาจหาญ ร่าเริงไปเรื่อย ตามลำดับ จากทานบารมีปกติ เมื่อเราทำบารมีทานแก่กล้าก็ทำมากขึ้นๆ ทำจนเป็นแสนเป็นล้าน แบ่งสมบัติเป็นสามกอง เห็นว่า อันนี้เอาไว้ตรงนี้ อันนี้เอาไว้ทีนี่ ที่นี่ ก็จะได้ไม่จน
ขอให้เราทำให้มันถูกทาง ไม่มีทางจน ยิ่งทำไป ก็ยิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองจนกระทั่ง รุ่งเรืองจริงๆ สุดชีวิตจริงๆมันก็ถึงนิพพานเอง โดยไม่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ จากมนุษย์ก็อย่างน้อยก็เลื่อนขั้นไปเป็นเทพ เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์เสียบ้าง จะได้ไม่ต้องแออัดอยู่บนโลกมนุษย์ สร้างแต่กรรมชั่วกัน ไปอยู่สวรรค์ซะบ้าง แบ่งแยกกันไปอยู่ ทีนี้มันแออัดกันมากเกินไป มันก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วก็ไม่ค่อยจะทำตามโอวาท คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือ พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งการเกิดของมนุษย์ ที่จะให้ความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีใครที่จะเกินไปกว่าพระพุทธเจ้า มีใครเกินไปจากสมณะชีพราหมณ์ ผู้นำของสัตว์โลกทั้งหลาย เหล่านี้ สมณชีพราหมณ์ไม่ซื่อสัตย์สุจริต มีอย่างเดียวเท่านั้น โลกก็จะถึงกาลวิบัติเร็วขึ้นเท่านั้น
นี้แหล่ะ ค่อยพิจารณาดูให้เห็นความเป็นจริง เราจะไปพึ่งใคร พึ่งได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีหรอก ต้องพึ่งตนเอง เมื่อเราพึ่งตนเองได้ เราก็จะรู้จักว่า พุทธภาษิต ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แต่ละบาท แต่ละคาถาเนี่ย เป็นพุทธภาษิต ถ้าเราพึ่งตนเองได้ เราก็ได้เข้าสู่บทของภาษิตที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่น ใครจะเป็นที่พึ่งเราได้ พ่อแม่ เราไปพึ่งพ่อแม่ โดยที่เราไม่ใช้ปัญญา ไม่ใช้ความสามารถของเราบ้าง เอาแต่พ่อแม่ทำเอาไว้ให้ จริงๆเป็นลูกคนรวยขนาดไหน ก็รักษาทรัพย์เอาไว้ไม่ได้หรอก ในวาระสุดท้ายก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดไปสู่อบายภูมิทุคติวิวาทนรกไปอีก
ถ้าคนเราไม่สร้างความดีก็มีแต่ความชั่ว มีเท่านั้นล่ะ จะอยู่เฉยๆไม่มีหรอก เนี่ย! ขอให้เราพิจารณาให้เห็นแล้วก็ปล่อยวาง ใครจะด่าก็ด่าไป เรื่องของเขา แล้วเราก็ไม่ต้องไปด่าตอบด้วย แล้วเราก็ต้องสงสารเขาด้วย เขายิ่งด่าเรามาก ก็ต้องยิ่งสงสารเขามาก แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาเลย ทำผลบุญกุศลหนหลังแต่ละครั้งเนี่ย แผ่ให้คนที่เกลียดเรา ด่าเรา ให้บ่อย แล้วศัตรูก็จะกลายเป็นมิตรในที่สุด คนโกรธทีหลัง เลวกว่าคนโกรธก่อนน่ะ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนี้
จำไว้น่ะ! บทนี้ เวลาเขาด่าเรา อย่าไปด่าตอบ พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เอาชนะกันตรงนี้หรอกน่ะ ท่านบอกว่า “อโกเธนะ ชิเน โกธัง เอาชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ” ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจทีเดียว “อสาธุง สาธุนา ชิเน จงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี” เราต้องเอาความดีในตัวของเราที่มีอยู่ แต่อย่าไปกด ไปข่มเขาน่ะ เอาชนะเขาด้วยไม่โกรธเขา ขณะที่เขาทำความชั่ว แล้วเขายังพร้อมที่จะรับฟังเหตุผลอยู่ล่ะก็ เราก็ควรเมตตาให้เหตุผลกับเขา โดยที่เราไม่ได้แสดงอาการโกรธ รังเกียจ เหยียดหยามอะไร เขาก็จะนับถือ เขาก็จะรักเรา ดีไม่ดีเขารักเรายิ่งกว่าลูกกว่าเต้าเขาอีกด้วยน่ะ จะบอกให้ และ เขารักเรามากกว่าลูกกว่าเต้าเขาเนี่ย เราก็จะต้องถูกใช้งานมากหน่อยสิ
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ใช้เพื่อเอาบุญ ร่างกายของเราเนี่ย มันใช้ไป ไม่นานมันก็ถึงเวลาก็แตกดับ ดีกว่าแตกดับไปฟรีๆ ใช้ให้มันคุ้มค่า เกิดมาชาติหนึ่งก็ทำให้มันสะใจไปเลย ทำดีให้มันสะใจไปเลย อย่าไปทำเลาะๆแหละๆ ถ้าทำเล็กๆน้อยๆ เราวิทยฐานะไม่ทันเขา เราก็ทำสะสมของเราไป แต่เราไม่ได้คิดจะทำเพียงแค่นั้น เรามีมากก็ทำมาก มีน้อยก็ทำน้อย ตามกำลัง จะเหลือไว้ทำไม เหลือไว้ให้ใช้อะไรได้ เหลือก็ทิ้งไว้บนโลกนี้แหละ ถ้าเรามีมากๆ มีร้อยล้าน มีพันล้าน ก็เราก็เอาของเราไปบ้าง เหลือก็เหลือให้ลูกเอาไว้ ต่อทุนของมันบ้าง ไม่ใช่เหลือไว้ให้มันสบายซะทุกอย่าง เราเกิดมาลำบาก เราก็ต้องได้รับผลบ้าง ยังตราบใดยังเกิดอยู่ ความลำบากก็ยังต้องมี ทุกข์ก็ยังต้องมี
เพราะฉะนั้น ขอให้เราพยายามตั้งอกตั้งใจแล้วก็พิจารณาให้มันเห็นกาลเวลา ชีวิตของเราเนี่ย ว่ามาถึงจุดหมายปลายทางจะได้ไม่กระเสือกกระสนรนรานโอดโอยโหยหวนครวญคราง กว่าจะแก่ตายได้ โอ้ย! ทรมาน ทรกรรม คนมีบุญไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่ะ คนมีบุญถึงเวลาจะตายขึ้นมาเนี่ย ใกล้จะตาย เขาก็ยังมีสติ เขาก็ยังเอาสมบัติมานับทัน ทำบุญที่นี่ รักษาศีลที่โน่น ฟังเทศน์ที่นั่น ฟังธรรมที่นี่ ปฏิบัติธรรมที่นี่อะไร เขาก็จะได้รู้จักเอาสมบัติมานับเพื่อที่จะเดินทางต่อไปข้างหน้า เราเดินทางไปอังกฤษอเมริกานี่ก็ต้องเอาเงินไทยเปลี่ยนเป็นเงินดอลล่าร์ เปลี่ยนเป็นเงินดอลล์ แล้วแต่เราจะไปประเทศไหนจะสะดวกสบายในการใช้
เราไปในสัมปรายภพ เราก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน เปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ ถ้าใครไม่มีก็จนอีกแหละ ถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ตายไปก็จนเหมือนคนขอทานในโลกมนุษย์นี่แหละ แล้วขอกันไม่ได้เหมือนในโลกมนุษย์นี้น่ะ จนในโลกมนุษย์ยังสบายกว่า ยังขอเขากินได้ อะไรได้ ไปอย่างนั้น ขอไม่ได้ ลูกหลานเจาะจงลงไป ออกชื่อ ออกแซ่ไปถึงจะได้ พูดลอยๆเลือนๆลางๆก็ไม่ได้หรอก
เนี่ยขอให้เราเตรียมของเราให้พร้อม อย่าไปหวังพึ่งคนอื่นเลย หวังลูก ลูกมันถ้าไม่ตั้งในศีลในธรรม ถ้าให้มันไป ก็เท่ากับไปส่งเสริมให้คนทำชั่วอีก ทรัพย์สินที่เรามีอยู่แทนที่ว่าจะได้บุญ ทุกครั้งที่ลูกนำไปใช้ ทุกครั้งที่ลูกนำลงไปทำธุรกิจอะไรเกิดประโยชน์ต่อสังคม เราก็ได้บุญได้กุศลไปด้วย
แต่ถ้านำไปใช้ในทางผิด ใช้ไปในทางทุจริตต่างๆ เราก็เท่ากับเอาเงินส่งเสริมไปทำชั่วให้ลูกมากเข้าๆ มากเข้า เราก็ไม่ได้บุญหรอก ได้แต่บาป ขอให้ทุกคนพิจารณาเหตุปัจจัยต่างๆเหล่านี้อย่างถ่องแท้ เมื่อเข้าใจแล้ว เราก็จะรู้จักแบ่งสรรทรัพย์สินที่เราทำมาได้ จะทำยังไงให้เราได้ไปบ้าง ขอให้ที่พูดไปแล้วก็คิดว่า พูดมานานพอสมควร ก็อยากให้ทุกคน ได้พิจารณาใคร่ครวญกลั่นกรอง แยกแยะ อะไรเป็นประโยชน์ก็นำไปใช้ เพราะธรรมะจะอยู่กับเราทั้งนั้น ไม่ได้ไปอยู่กับคนอื่น อย่าว่าของไกลตัว ก็อยู่กับตัวเรานี่แหล่ะ เกสา โลมา ตะโจ นะขา ทันตา ถ้าเรามีเวลาว่างก็ใช้การพิจารณาตามพ่อแม่ครูอาจารย์ฯสอน หรือ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ก็พิจารณา ให้คลายจากความกำหนัด คลายจากความหลง งมงายต่างๆ และควรจะประหยัดทรัพย์สินที่เราหามาได้ ไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ขอให้เราทุกคนจงเจริญในธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าทั่วทุกกัน เอวังก็มีด้วยประการ ฉะนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี