ก่อนฟ้าสางที่...บางกลอย! วงเสวนาจี้รัฐยอมรับชุมชนดั้งเดิมใน‘แก่งกระจาน’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวันที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล มีการจัดเวทีเสวนา “ก่อนฟ้าสางที่...บางกลอย” โดยขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) และเครือข่าย
นายประยงค์ ดอกลำใย ที่ปรึกษา P-Move หนึ่งในคณะทำงานแก้ปัญหาบางกลอย (ตัวแทนภาคประชาชน) กล่าวว่า ในปี 2539 ที่มีการอพยพชาวกะเหรี่ยงออกจากพื้นที่ที่เรียกว่า “ใจแผ่นดิน” ลงมายังบ้านบางกลอย เพราะด้วยแนวคิดยุคนั้นที่มองว่าคนกลุ่มดังกล่าวเป็นชนกลุ่มน้อยจากประเทศเพื่อนบ้าน
ในขณะที่ก็มีคนนำแผนที่ของทางการในปี 2455 ที่มีการระบุว่ามีหมู่บ้านใจแผ่นดินเกิดขึ้นแล้ว จากนั้นในปี 2514-2524 มีการให้สัมปทานป่าไม้ และในปี 2524 หลังยุติสัมปทานป่าไม้ ก็ประกาศพื้นที่อุทยานแก่งกระจานโดยทันที ซึ่งทุกหน่วยงานก็พยายามจะบอกว่าไม่เคยมีชุมชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเขตอุทยาน แม้กระทั่งในปัจจุบัน ภาครัฐก็ยังไม่ยอมรับการมีชุมชนดั้งเดิม
นายประยงค์ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2539 ที่เริ่มใช้การเจรจาให้ชาวกะเหรี่ยงลงจากใจแผ่นดินมาอยู่บ้านบางกลอย ทางการตกลงจะให้ที่ทำกินคนละ 7 ไร่ 1 งาน และเป็นภาคสมัครใจ หากใครไม่สามารถดำรงชีพอยู่ก็ให้กลับไปอยู่ที่เดิมได้ ทั้งนี้ ยังพบด้วยว่า จาก 57 ครัวเรือนที่อพยพลงมา มีประมาณ 3-4 ครัวเรือนที่ไม่ได้ที่ดินทำกิน กระทั่งในปี 2554 เกิดยุทธการตะหนาวศรี ที่ครั้งนี้ไม่ใช่การอพยพแต่เป็นการไล่รื้อมากกว่าเพราะมีการเผาสิ่งปลูกสร้าง
ส่วนปัญหากะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดินครั้งล่าสุด มีการตั้งคณะทำงาน 29 คน และมีการลงพื้นที่โดยร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดการวันที่ 19-23 ก.พ. 2564 แต่ปรากฎว่าในวันที่ 12 ก.พ. 2564 มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธไปกดดันชาวบ้านก่อน
“ไปทำล่วงหน้าเรื่องอะไร? 1.ชาวบ้านที่เดือดร้อนเรื่องที่ดินให้มาเข้าชื่อ ก็พาคุยไปตามหมู่บ้าน แล้วก็ไปตั้งคำถามว่าที่ดินทำกินทำกินได้หรือไม่ ชาวบ้านก็บอกว่าทำได้ปานกลาง ก็คือไปเพื่อสกัดการทำงานของคณะกรรมการก่อน ไปเตรียมความพร้อม เอาประเด็นไปเตรียมชาวบ้าน แล้วการลงไปของชุดนั้นก็นำข้อมูลมาจับใส่ปากรัฐมนตรี ว่ามีคนไม่พอใจเดือดร้อนแค่ 6%” นายประยงค์ กล่าว
น.ส.พรพนา ก๊วยเจริญ ผู้อำนวยการกลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน (Land watch thai) เปิดเผยว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ร่วมลงพื้นที่ไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกะเหรี่ยงที่บ้านบางกลอย โดยเฉพาะเรื่องที่ดินทำกิน พบว่า 1.พื้นที่บางแปลงเป็นหินแข็งไม่สามารถเพาะปลูกทำการเกษตรได้ หรือได้เป็นบางส่วน หรือชันมากจนเก็บน้ำไม่อยู่ 2.มีบางคนไม่ได้รับที่ดินทำกิน 3.การแบ่งที่ดินไม่ใช่ทุกคนได้คนละ 7 ไร่เท่ากัน มีบางคนได้ 1 ไร่ บางคนได้ถึง 10 ไร่ ซึ่งสาเหตุมาจากการกำหนดแนวเขตไม่ชัดเจน
“น่าเสียดายที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะรัฐมนตรี ไม่ยอมให้การทำงานของคณะทำงานเอาข้อมูลข้อเท็จจริงออกมา อันนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และมีคำถามว่าทำไมถึงไม่ยอมให้มีข้อมูลที่คณะทำงานทำออกมา รวมทั้งเรื่องผังเครือญาติ สิ่งที่บอกว่าพวกคุณเป็นพม่า เป็นครอบครัวอพยพมาทีหลัง ครอบครัวขยาย คุณเอาผังเครือญาติมาดูเลย เกี่ยวข้องกับการอพยพปี 2539 ได้หรือไม่ได้ที่ดิน ถ้าเอาผังเครือญาติออกมาจะเห็นชัดเลย” น.ส.พรพนา ระบุ
นายวุฒิ บุญเลิศ ผู้ประสานงานเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานแนวตะนาวศรี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีชุดความคิดหนึ่งที่ถูกส่งต่อมาอย่างต่อเนื่อง คือการที่เอกสารของอุทยานแก่งกระจานแทบไม่กล่างถึงคนและชุมชนที่อาสัยอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งยังบอกว่ามีชาวกะหร่างมาจากประเทศเมียนมา การที่เอกสารดังกล่าวถูกผลิตและเผยแพร่อย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้คนเชื่อในชุดความคิดนี้ ทั้งที่ยังมีชุดความคิดอื่น ที่ชี้ว่าในประวัติศาสตร์มีการกล่าวถึงกะเหรี่ยงใจแผ่นดิน
ทั้งนี้ อาทิ ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน มีคำเรียกเมืองเพชรบุรีในภาษาของตนเอง ส่วนชื่อ จ.เพชรบุรี เป็นคำที่เรียกกันโดยคนรุ่นหลัง อีกทั้งในสมัยปักปันเขตแดนระหว่างไทย (สยาม) กับอังกฤษที่ยึดเมียนมาเป็นอาณานิคม หมู่บ้านกะเหรี่ยงใจแผ่นดิน และต้นน้ำเพชร-ต้นน้ำบางกลอย ก็ปรากฏในประวัติศาสตร์ช่วงนี้แล้วในฐานะที่อยู่ในเขตแดนฝั่งไทย
“แท้จริงแล้วคนที่อยู่ลุ่มน้ำเพชร อยู่ปลายลุ่มน้ำกับคนกะเหรี่ยง ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดกัน เขาพึ่งพาอาศัยกัน อีกเหตุผลหนึ่งกำลังจะบอกว่าคนกะเหรี่ยงที่อยู่ข้างบน กับคนเพชรบุรีที่อยู่ข้างล่าง คนเพชรบุรีคือใคร? เขมรก็มี มอญก็มี โซ่งก็มี เยอะแยะไปหมดเลย ผมคิดว่าการยอมรับการอยู่ร่วมกันของคนเพชรบุรี กำลังบอกว่ามันอยู่ร่วมกันได้นะ แต่งงานเป็นเขยเป็นสะใภ้ดองกันได้ แต่ผมคิดว่า ณ เวลานี้บางทีอาจจะถูกชุดข้อมูลที่ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก กะหร่างนะ ชนกลุ่มน้อยนะ เป็นคนอื่น” นายวุฒิ กล่าว
นางสุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ให้ความเห็นว่า ปฏิบัติการที่มีการนำกองกำลังและเฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปพาชาวบ้านลงมาจากพื้นที่ใจแผ่นดิน เหมือนกับว่าเรื่องสิทธิชุมชนที่คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เริ่มผลักดันกันมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือกว่า 20 ปีถูกโยนทิ้ง โดยส่วนตัวแล้วตนโมโหมาก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับชาวบางกลอยไปก่ออาชญากรรมร้ายแรง
“หมายจับ 20-30 คน ถามว่าจับจริงเท่าไร 85 คน เอาอำนาจอะไรไปจับเขาลงมาด้วย อย่าว่าแต่จับคนพิการจับเด็กลงมาด้วย คือไม่ได้เข้าสู่กระบวนการอันใดเลยที่จะบอกว่าวันนี้คนเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับการคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรม มากกว่ากรณีที่เกิดขึ้นในกรณีของบางกลอย มันเหมือนกับบอกว่านี่เป็นกรณีที่อำนาจไม่รู้ว่าเป็นของใคร ได้ใช้อำนาจอ้างอิงกฎหมายกันอลหม่านบวกกับอำนาจปืน เพราะเป็นการเอาปืนไปบังคับเขาลงมา” นางสุนี กล่าว
นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการสมานฉันท์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการทำให้ประเด็นบางกลอยเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของสังคม เช่น ใช้คำเรียกว่าชาวกะหร่างโดยสื่อว่าไม่ใช่คนไทย นอกจากนี้ยังไม่ให้คุณค่ากับวัฒนธรรมโดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคตะวันตก และมติคณะรัฐมนตรี 3 ส.ค. 2553 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องให้มีการสืบทอดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
“คณะกรรมการสมานฉันท์ จะต้องทำหน้าที่ให้ผู้บริหารระดับประเทศแล้วตอนนี้ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วอาจารย์สุริชัย หวันแก้ว ท่านเป็นกรรมการสมานฉันท์ ก็พูดถึงว่าต้องไปถึงระดับยูเนสโก และกรรมการที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้พูดถึงการที่มีคนอยู่ หรือการเป็นเพราะวัฒนธรรมทางภูมิปัญญาที่ให้ความเท่าเทียมว่ามนุษย์และธรรมชาติมีขวัญเช่นเดียวกัน จะต้องทำหน้าที่ที่ทำให้สังคมไทยและผู้บริหารทั้งระดับประเทศและระดับสากลเข้าใจสถานการณ์บางกลอย” นางเตือนใจ กล่าว
ภายในงานยังมีเสียงสะท้อนของตัวแทนชาวบ้านบางกลอยที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2564 ก่อนที่ศาลจะให้ปล่อยตัวชั่วคราวในวันที่ 7 มี.ค. 2564 โดยไม่เรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันแต่ห้ามกลับเข้าไปในพื้นที่ใจแผ่นดินอีก อาทิ นายประเสริฐ พุกาด เล่าว่า ถูกแจ้งข้อหาบุกรุก มีการเก็บข้อมูลพันธุกรรม (DNA) จากเส้นผมและในช่องปาก โดยไม่ได้แจ้งว่าเก็บไปเพื่ออะไร และแม้จะมีทนายความในห้องสอบสวน 3 คน แต่ตนก็ไม่รู้ว่าทนายเหล่านี้เป็นใครและจะมาทำอะไร
“ทำไมบรรพบุรุษเราอยู่ตรงนั้นทำไมเราจะกลับไม่ได้ มันให้เป็นอำนาจของรัฐไปตั้งกฎใหม่ จะกลับ กลับเหมือนเดิม ติดคุกอีกรอบผมก็กลับ อย่างไรผมก็กลับ” นายประเสริฐ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี