หลังจากประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึง 2 รอบ ทำให้ประชาชนตื่นตัวในเรื่องของการดูแลสุขภาพเป็นอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลประกาศงดกิจกรรมรวมกลุ่ม รวมถึงสั่งปิดผับบาร์ คาราโอเกะ ร้านเหล้า เพื่อเหยุดยั้งเชื้อร้ายไม่ให้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง จึงทำให้ธุรกิจต่างๆต้องหยุดชะงัก แต่เพียงไม่นานเมื่อโรคระบาดนี้เบาบางลงประเทศไทยก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ธุรกิจเริ่มดำเนินการต่อ การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง แต่เปิดได้ไม่ทันไรก็ต้องพบกับฝันร้ายอีกครั้ง
ที่ล่าสุดประเทศไทยได้เกิด “คลัสเตอร์แห่งใหม่” ในการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 รอบที่ 3 โดยมีต้นตอมาจากสถานบันเทิง “คริสตัล คลับ" ผับหรูย่านทองหล่อ ที่ “น้องฟ้าใส แสนดี” พีอาร์สาวดาวดังของ “คริสตัล คลับ” ออกมาโพสต์ยืนยันผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่าตัวเองติดเชื้อ ทำให้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่สนใจของชาวโซเชียลในขณะนี้ เพราะมีการพาดพิงไปถึงกลุ่มวีไอพีระดับชาติอีกด้วย
สำหรับ “Krystal Club (คริสตัลคลับ)” เป็นอัครสถานบันเทิงใหญ่ใจกลางกรุงโด่งดังในระดับวีไอพี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไฮโซ ดารา นักธุรกิจ หรือแม้แต่นักการเมือง ล้วนเป็นกลุ่มลูกค้าเกรดพรีเมียมทั้งสิ้นไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปใช้บริการก็ได้ โดยจุดเด่นของ “คริสตัล คลับ” ประกอบด้วย ห้องจัดเลี้ยง ห้องคาราโอเกะ มีวงดนตรีและดีเจโชว์ทั้งคืน มีคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดังหมุนเวียนมาโชว์ทุกสัปดาห์ มีพนักงาน PR , โคโยตี้ และพริตตี้สาวสวย กว่า 200 คน ส่วนลูกค้านั้นมีทั้งแบบสมาชิก เริ่มต้น 20,000 บาท และลูกค้าขาจรจ่ายค่าห้อง VIP 2,500-4,500 บาท หากนับเป็นรายได้ต่อเดือนก็ตกเดือนละแสนบาท
นอกจากนี้ คริสตัล คลับ ยังเป็นสถานที่รองรับแขกระดับ VIP พูดคุยกันในเรื่องธุรกิจ จนถูกเรียกว่า ไทยคู่ฟ้า 2 อีกด้วย
หลังเกิดคลัสเตอร์รอบที่ 3 “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ได้ลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นเหล่าน้องๆนักศึกษา นายพงศกร เจริญนิช หรือ “น้องฟลุ๊ค” อายุ 21 นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ สาขาการสื่อสารมวลชน ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นเหรัญญิกประจำสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า ตนเองเป็นคนเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงบ้างตามโอกาส ซึ่งมีบ้างที่จะพากันไปต่อที่สถานบันเทิง แต่ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็งดการพบปะกับเพื่อน ประกอบกับทางมหาวิทยาลัยบ้านสมเด็จฯ ปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นออนไลน์ จึงเรียนจากที่บ้านแทน แต่ระหว่างที่อยู่ที่บ้านเราก็ดูแลตัวเอง และรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการไม่ไปในสถานที่แออัดหรือสุ่มเสี่ยงต่อการระบาดของโรค
ส่วนการระบาดรอบใหม่ที่เกิดจากสถานบันเทิงนั้น สำหรับคนที่ไปสถานที่ดังกล่าวควรไปตรวจโควิดถ้าติดเชื้อจะได้รักษาทัน และไม่เป็นการเผยแพร่เชื้อต่อไป แต่คนที่ยังไม่ไปตรวจหรือไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อหรือไม่ ควรกักตัว 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังตนเอง หรือถ้าเรามีเชื้อระหว่างกักตัวอยู่นั้นก็จะเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมที่ดีที่สุด ที่จะไม่แพร่เชื้อต่อไปยังบุคคลอื่น เพียงเท่านี้เราก็จะหยุดเชื้อได้แล้ว
“ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากติดเชื้อ แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราก็ควรทำตามกฎของเรา และกักตัวเองเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย ที่สำคัญควรแจ้งไทม์ไลน์ให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเกิดการแพร่ระบาดรอบนี้ ประกอบกับเป็นช่วงหยุดยาวสงกรานต์ ทำให้ทริปต่างๆที่เตรียมไว้ต้องล่มพังทลายไม่เป็นท่า แต่มันเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เพราะเที่ยวเมื่อไรเราก็ไปเที่ยวได้ แต่ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกันรักษาสุขภาพตัวเองก่อน”
นายพงศกร กล่าวต่อไปว่า “ผมเข้าใจว่าทุกคนเฟล ซึ่งรวมถึงตัวผมด้วย เพราะทุกคนอาจจะวางแผนเที่ยวสงกรานต์มาเป็นเดือนๆ หรือบางคนก็เพิ่งวางแผนไม่นานก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ผมอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน งดความบันเทิงอีกครั้งไว้รอให้โรคซาแล้วเราค่อยกลับมาสนุกกันใหม่ให้เต็มที่ จึงอยากฝากถึงทุกคนที่ไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสถานบันเทิงดังกล่าว ก็ให้ไปตรวจหาเชื้อโควิดและกักตัวเองตามมาตรการการเฝ้าระวังโรค และแจ้งไทม์ไลน์แก่เจ้าหน้าที่อย่างละเอียด เพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อต่อไป”
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการจัดการตนเองและการรับผิดชอบต่อสังคมในสมัยนี้นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ เพราะโรคระบาดโควิดในรอบ 3 นั้นดูจะรุนแรงมากกว่ารอบที่ผ่านมา เพราะการที่เราละเลยต่อความรับชอบอาจทำให้ใครหลายคนลำบาก จนมีคำยอดฮิตขึ้นมาอย่างคำว่า “คนจนซวย คนรวยติด”
ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะคนจนที่พยายามป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่กลับต้องมาลำบาก บางคนถึงขั้นต้องตกงาน เพราะคนรวยหลายๆคนนั้น ปล่อยตัวเอง ซึ่งจากที่เห็นในข่าวมีทั้งคนดัง ดารา นักร้อง แม้กระทั่ง รมต.ที่ไม่ยอมทำตามมาตรการป้องกันโรคระบาด แล้วรัฐบาลจะจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร ถ้ายังไม่มีแม้แต่ความเท่าเทียม
ซึ่งการจัดการตนเองนั้นง่ายดายมาก ยกตัวอย่างเช่น ใส่หน้ากากอนามัย หรือการเว้นะยะห่างทางสังคม การล้างมือบ่อยๆ ซึ่งดูไม่น่าจะยากเย็นอะไรถ้าคนเรามีจิตสำนึกและมีการรับผิดชอบทางสังคม อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า คนที่รวยนั้นแม้จำติดโควิดชีวิตเขาก็ไม่ได้ลำบากหรือได้รับผลกระทบอะไรมากมาย นี้อาจเป็นเหตุผลทำให้คนรวยเหล่านี้ทำตัวกันอย่างเสรี ไม่มีจิตสำนึกต่อสังคม
ซึ่งต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่เดือดร้อนกันทั่วหน้า แม้จะมีโครงการเยียวยาจากรัฐแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไร เพราะมีคนหลายคนที่ไม่สามารถเข้าถึงโครงการรัฐได้ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไข ไม่อย่างนั้นประชาชนคงอดตายกันหมด รัฐบาลควรจริงจังกับเรื่องนี้ให้มากที่สุด ประชาชนธรรมดาต้องเดือดร้อนเพราะบุคคลระดับ วีไอพี เพราะฉะนั้น เราควรทำตามสิ่งที่จะป้องกันตัวเราเองแล้วผู้อื่น นายพงศกร ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี