"...เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ สื่อมวลชนฉบับหนึ่ง ได้เสนอข่าวชวนให้คิดเชิงจริยธรรม ความว่า บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมือง และเศรษฐกิจ....ได้จัดอันดับความเครียดของพลเมืองประเทศต่างๆ ในทวีปเอเซีย ด้วยมาตราวัดความเครียดได้สถิติความเครียด ๖ อันดับดังนี้
มีความเครียดระดับ ๑ ได้แก่ พลเมืองประเทศเวียดนาม สถิติ ๘.๕
มีความเครียดอันดับ ๒ ได้แก่ พลเมืองประเทศเกาหลี สถิติ ๘.๒
มีความเครียดสูงอันดับ ๓ ได้แก่ พลเมืองประเทศไทย สถิติ ๗.๘
มีความเครียดสูงอันดับ ๔ ได้แก่ พลเมืองประเทศจีน, ฮ่องกง,
ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สถิติ ๖.๗
มีความเครียดสูงอันดับ ๕ ได้แก่ พลเมืองประเทศมาเลเซีย สถิติ ๕.๖
มีความเครียดสูงอันดับ ๖ ได้แก่ พลเมืองประเทศไต้หวัน สถิติ ๕.๕
นอกจากสถิติดังกล่าว ....ยังได้สถิติในด้านที่มีความเครียดน้อยที่สุดไว้ด้วยว่า ชาวอินเดียมีความเครียดน้อยที่สุด หลายคนสงสัยว่า ทำไมชาวอินเดียจึงมีอารมณ์ดี เครียดน้อยที่สุด
ในปัญหานี้ น่าจะชี้แนะให้เห็นความจริงว่า ชาวอินเดียโดยทั่วไปนั้น เขาเป็นคนทะเยอทะยานน้อยที่สุด คนวรรณะต่ำสุดของอินเดีย เป็นคนที่ลำบากยากจนมากที่สุด คุ้นเคยชินชาอยู่กับความลำบากยากไร้มากที่สุด มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารการกินน้อยที่สุด อาศัยอยู่ที่อาศัยที่เป็นกระท่อมน้อยๆ หาความสะดวกสบายได้น้อยที่สุด ได้รับอันตรายจากภัยธรรมชาติมากที่สุด สรุปว่า ย่อมรับรู้ทุกข์ความเจ็บไข้ ความผิดหวัง ความร้อน ความหนาว และการเหยียดหยามก้าวร้าวมาบ่อยทุกรูปแบบ โดยเห็นว่าทุกข์เหล่านั้นคือ เพื่อนสนิทในชีวิตของเขา ด้วยเหตุนั้น น่าจะเป็นผลทำให้เขาเครียดน้อยที่สุด
ส่วนชาวไทยเรา มีความเครียดมากติดอันดับ ๓ ของเอเซีย อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อเพราะอะไร เพราะชาวไทยมีพระพุทธศาสนาประจำชาติ มีพุทธธรรมเป็นโอสถยาวิเศษที่ป้องกันบรรเทาและแก้ทุกข์ได้ร้อยแปด มีพระสงฆ์เป็นครูชั้นยอด คือแนะนำให้ทำดี ให้หมดทุกข์ได้สิ้นเชิง
แต่เหตุไรชาวไทย จึงมีความเครียดหนักหนาเช่นนั้นคนโดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า เพราะปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าทำให้คนไทยอยู่สบายๆ หรือสุขสำราญอีกต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าจะลงลึกไปอีก เราจะเห็นสาเหตุสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็เราไม่ได้ใช้พระพุทธศาสนา เป็นเครื่องจรรโลงใจกันเลยทั้งๆ ที่รู้กันดีว่า ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ
ที่พึ่งทางกาย เรามีกันพอสมควรแล้ว คือเรามีอาหารพอกินเรามีเครื่องนุ่งห่มพอใช้ เรามีบ้านเรือนพออยู่เรามียาแก้โรคทางกาย หลายต่อหลายอย่าง แต่ที่พึ่งทางใจ เราขาดแคลนอยู่เป็นประจำทำไมจึงขาดแคลน ก็เพราะเราไม่ค่อยอยากใช้ธรรมะไม่อยากสนใจทางพ้นทุกข์หรือทางระงับดับความเร่าร้อนใจในชีวิตโดยเราเห็นว่า ไม่จำเป็น และไร้สาระ ช่วยอะไรไม่ได้โดยปล่อยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นของไร้ค่าไปเสียเฉยๆ
ถ้าเราจะมาสนใจกันหน่อยศึกษาและอบรมตามหลักธรรมสำคัญๆ ของพระพุทธศาสนา ให้รู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือความดับทุกข์ และอะไรคือวิธีทำให้สิ้นสุดความทุกข์ และหลักธรรมประกอบอื่นๆ อีกไม่กี่ข้อ เช่น เรื่องโลกธรรม ๘ เรื่องสันโดษ เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องการแผ่เมตตาและเรื่องไตรลักษณ์ เป็นต้น เราก็จะไม่ต้องพ่ายแพ้แก่ความเครียดซึ่งมันเป็นเรื่องทางกายมากกว่า
บางทีเพียงเรื่องโลกธรรมเรื่องเดียวถ้าเรารู้ซึ้งจนยอมรับไปคิดพิจารณาอยู่บ่อยๆเราก็สามารถระงับยับยั้งทุกข์ระทมที่โหมโรมรันเราได้สำเร็จง่ายๆ
ในโลกธรรม ๘ นั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้ความจริงหรือธรรมชาติที่ทุกชีวิตจะต้องได้รับเสมอเหมือนกันไม่มีผู้วิเศษอยู่เหนืออำนาจโลกธรรม ๘ กล่าวคือ
๑. มีลาภ แล้วก็ ต้องเสื่อมลาภ
๒. มียศศักดิ์ แล้วก็ ต้องเสื่อมยศศักดิ์
๓. มีสรรเสริญ แล้วก็ ถูกนินทา
๔. มีสุข แล้วก็ ต้องมีทุกข์
* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ลาภร่ำรวยล้น ไม่หยุด
* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ยศศักดิ์อัครฐาน ไม่เสื่อม
* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่คำยกย่องสดุดี ไม่ถูกด่าว่า
* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่สุขสนุกสนาน ไม่ทุกข์
อยู่ว่างๆ ณ ที่สงบสงัด ทำใจให้เป็นสมาธิ คิดพิจารณาตามที่ว่ามา จิตที่ผิดหวัง มีทุกข์ จะค่อยๆ มั่นคงมีเหตุผล คลายความทุกข์ได้
พระพุทธองค์ทรงสอนชาวโลกไว้แจ่มแจ้งแล้วแต่ผู้เครียดทั้งหลาย มิได้ใส่ใจสนใจมิได้นำมาพินิจพิจารณา จึงต้องเครียดหนัก ผู้ที่จะอยู่ในโลกได้อย่างสุขสบายไม่เครียดจะต้องเป็นผู้ยอมรับรู้ ยอมรับทราบ ยอมให้ตนได้รับทุกข์โดยไม่มีการปฏิเสธ (กายจะทุกข์ก็ให้เขาทุกข์)
คล้ายๆ ว่า แสวงหาสุขบนกองทุกข์ของตน คือ เห็นทุกข์เป็นเพื่อนคู่ชีวิตเห็นความลำบากเป็นทางแห่งเกียรติยศเห็นความโศกสลดเป็นรสชาติของชีวิต ชีวิตที่เกรียงไกรเลิศล้ำต้องมีสีสัน ต้องสามารถแสดงบทบาทโลดโผนได้อย่างดี มิใช่ชีวิตที่ล่องลอยมาสบายๆ ดังพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ว่า “หนทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้หอมหวลยวนจิตไซร้ บ่ มี”
อาจมีคนค้านว่า “พูดหรือสอนเขานะ มันแสนยากแต่พอจะทำเอง มันยากนักยากหนา คนสอนนะยังไม่เคยเป็นหนี้สินใครเป็นร้อยๆ ล้านยังไม่เคยถูกพิษร้ายถึงขนาดบริษัทพัง ธุระกิจล่มจมตกงาน เงินขาดมือ จึงนึกว่าจะแก้ทุกข์ได้ง่าย”
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรเครียด ไม่ควรตายอยู่ดีนั่นเองเหตุผลก็คือ เรายังมีร่างกาย ยังมีความรู้ ยังมีความสามารถและยังมีคุณค่าต่อสังคมมากต่อมาก
* ไม่ตายเสีย ก็คงมีโอกาสปลอดโปร่งสว่างไสวในชีวิต
* ไม่ตายเสีย ก็ยังมีโอกาสทำงานอื่นๆ กอบกู้ฐานะได้
* ไม่ตายเสีย ก็คงจะมีเพื่อนผู้สามารถมาชี้แนะอุ้มชู
* ไม่ตายเสีย ก็คงมีโอกาสทำงานขอทุเลาหนี้ หรือใช้หนี้ได้
ถึงไม่อาจใช้หนี้หมดได้จริง เราก็ยังมีโอกาสพบผู้เห็นอกเห็นใจผู้เห็นคุณค่าของเราบ้างจนได้ ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ความสุขไม่เที่ยงแท้ เป็นจริงเราก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า ความทุกข์ ก็ไม่อยู่กับเราตลอดไปดอก(ทุกข์ก็หมดไปได้) มีทางสว่างไสวอยู่ในความมืดแน่นอนถ้าเราไม่ด่วนดับอนาคตของตัวเองง่ายๆ
ขอบคุณลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16750
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี