ขึ้นชื่อว่าการนั่งสมาธิภาวนาแล้ว ได้เวลาให้รีบทำ ให้รีบๆ ด่วนๆ รีบทำ ถ้าไม่รีบทำ ไม่ด่วน ทำไม่ได้ คำว่า ไม่ได้ คือจะไปเชื่อสังขารมาร หรือเชื่อคนที่ไม่ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญภาวนา มันก็มีแต่จะให้ท้อถอยนั่นเอง ดังนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงตรัสไว้ว่า ตุริตะ ติริตัง สีฆะ สีฆัง ท่านว่าอย่างนั้น คือว่าเวลาทำความดี ภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก ให้รีบๆ ด่วนๆ คือ ให้ตั้งใจทำ ตั้งใจปฏิบัติเสียในเวลานี้ขณะนี้ ถ้าไม่รีบทำแล้วมันจะเป็นอย่างไร ก็กิเลสมาร สังขารมาร มันพาไป จนเฒ่า จนแก่ จนชรา จนจะตาย หรือว่าถึงวันตายก็ไม่มีเวลาอีก คนที่ไม่มีเวลาก็คือว่าเชื่อสังขารมารตัวนี้แหละ
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย อย่าได้เชื่อสังขารมาร ทุกลมหายใจเข้าออก บอกกรรมฐานให้สังขารมารรู้ ว่านี่แน่ ลมหายใจเข้าออกมันรอวันตายอยู่ ทุกขณะทุกเวลา พระพุทธองค์ท่านกำหนดลมหายใจเข้าออกนี้แหละ เป็นบาทแห่งสมถะกรรมฐาน เป็นบาทแห่งวิปัสสนากรรมฐาน ยังจิตใจของพระองค์ให้ตั้งมั่นในธรรมปฏิบัติได้ เราทุกคน ทุกตน ทุกองค์ ก็มีลมหายใจเข้า ลมหายใจออกเหมือนกัน มีดวงใจครองอยู่ในร่างกายสังขารนี้เหมือนกัน สิทธิพิเศษคือ ผู้ใดเอาชนะกิเลสในหัวใจของตนได้ ก็รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งพระนิพพานได้ ไม่ต้องสงสัย ไปมัวสงสัยอยู่ทำไม คำว่าสงสัยก็คือว่าไม่ตกลงใจ ไม่ปลงใจลงในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ตั้งใจกระทำปฏิบัติในขณะนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ นั่นเอง ท่านเรียกว่าสงสัย สงสัยบุญเก่า สงสัยบุญใหม่ สงสัยอะไรต่ออะไรจิปาถะ เลิกความสงสัยออกไป
พระองค์ตรัสว่าเรื่องอดีต อนาคต แล้ว อย่ายื่นมือชูงวงออกไป ถ้ายื่นมือชูงวงออกไปเป็นอันว่าติดหมด ไปไม่รอด ไปไม่ได้ ถ้าตั้งใจลงไปในขณะนี้แล้ว ดวงใจอันมีความรู้อยู่ภายในใจเราทุกคน มีอยู่หรือไม่ ก็ย่อมตอบได้ว่า มีอยู่ ถ้ามันไม่มีเราจะมาพูดอย่างไรได้ ถ้าไม่มีจะมานั่งฟังธรรมได้หรือ มันมีอยู่นี่แหละ นี่แหละบุญบารมี มีอยู่ที่ตรงนี้ เราก็ตั้งใจบำเพ็ญภาวนา รวมกำลังจิตกำลังใจเข้ามาสู่ดวงจิตที่มีความรู้อยู่ภายใน วางจิตสังขาร จิตวิญญาณ จิตกิเลสที่แส่ส่ายลุ่มหลง คิดถึงโน้นคิดถึงนี้ คิดถึงหมู่คณะ เพื่อนฝูง บ้านเรือน สถานที่ป่าเขาลำเนาไพร ในที่อื่นนอกจากปัจจุบัน เป็นความผิดทั้งนั้น
ความถูกความตรงก็พระองค์ตรัสไว้ว่า ตัตถะ ตัตถะ ในที่นั้นๆ คำว่า ตัตถะ ตัตถะ ในที่นั้นๆ ก็หมายถึงดวงใจผู้รู้ มีอยู่ภายในใจทุกคนนั้น รวมลงที่นี้ มีอยู่ในใจ มีอยู่ในจิต มีความรู้สึกอยู่ในที่นี้ เมื่อกำลังจิตอันนี้รวมเข้ามา ตั้งลงไป สงบลงไป จนเชื่อแน่ จนเชื่อมั่นว่ามีอยู่ในใจ มีอยู่ในจิตนี้จริงๆ ไม่ใช่มีอยู่ในที่อื่น ศีลรักษา กาย วาจา ก็คือดวงใจนี้แหละเป็นผู้รักษา สมาธิตั้งใจมั่น ก็อะไรจะมาตั้ง ก็จิตนี้แหละตั้ง ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร สังขารก็ดวงจิตอันนี้แหละ มันจะนอกเหนือไปจากดวงจิตอันนี้ไม่มี นอกเหนือไปจากดวงใจไม่มีเลย
..................
โอวาทธรรม พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ คัดลอกจากหนังสือ รวมพระธรรมเทศนา ๑๐๘ กัณฑ์ เล่ม ๑ ที่ระลึกในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จัดพิมพ์โดย ชมรมพุทธศาสตร์ เอสโซ่ ขอบคุณลานธรรมจักร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี