“ยารักษาโรค” ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ แต่การใช้ยาอย่างไม่ถูกวิธี หรือใช้ยาที่ไม่มีคุณภาพเพราะหลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้วยังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังเรื่องเล่าจากวิทยากรหลายท่าน ในงานบรรยายและเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “การจัดการความเสี่ยงจากการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพในพื้นที่ภาคกลาง” จัดโดย ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา ภาคกลาง (กพย. ภาคกลาง) เมื่อเร็วๆ นี้
ภก.สันติ โฉมยงค์ จากสํานักงานสาธารณสุข จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บรรยายหัวข้อ “การเฝ้าระวังยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย ในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19” โดยเปิดเผยว่า ช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พบปัญหาในหลายพื้นที่ เช่น จ.กาญจนบุรี ในพื้นที่ อ.สังขละบุรี มีการระบาดของยาที่ไม่ปลอดภัยจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมาก ส่วนในพื้นที่ อ.ศรีสวัสดิ์ พบการสั่งยาผ่านระบบออนไลน์ ยาที่สั่งส่วนใหญ่เป็นยาปฏิชีวนะยาควบคุมพิเศษ เป็นต้น
ขณะที่ จ.สิงห์บุรี พบว่า มีการซื้อยาชุดมารับประทานแล้วมีการบอกต่อกัน และยังพบว่ามีการขายตรงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากละอองเกสรดอกไม้ชนิดหนึ่งในวัด จนนำไปสู่ชาวบ้านนำไปใช้กับผู้ป่วยอีกด้วย ในส่วนของ จ.ลพบุรี ในช่วงโควิด-19 ทำให้สถานศึกษาปิด ทำให้พบว่าเด็กและเยาวชนมีการนำใบกระท่อมมาทำยาเสพติดชนิด 4x100 นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจุบันมีการสั่งซื้อยาแก้ปวด “ทรามาดอล” จากอินเตอร์เนต
“ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พบการใช้ผลิตภัณฑ์จากกระชายขาวและฟ้าทะลายโจรทุกเวลา จึงทำให้ราคากระชายขาวและฟ้าทะลายโจรมีราคาสูงมาก แต่จากการเก็บตัวอย่างพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีฉลากไม่ตรง มีการปลอมแปลงใช้ฉลากผลิตภัณฑ์อื่น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเป็นแหล่งที่มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้าไปบริจาคโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยอ้างสรรพคุณรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ และมีการถ่ายคลิปรีวิวผู้ใช้ว่ามีประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ชาวบ้านที่ยังไม่ป่วยตื่นตระหนกจนหาซื้อมารับประทาน” ภก.สันติ กล่าว
ภก.ชินวัจน์ แสงอังศุมาลี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม บรรยายหัวข้อ “การเฝ้าระวังยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยในชุมชน” โดยกล่าวถึงโครงการที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งร่วมมือกับเครือข่ายผู้บริโภคภาคกลางและตะวันตกรวม 5 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา และกาญจนบุรี ลงพื้นที่ให้ข้อมูลและเก็บข้อมูลปัญหาสุขภาพที่ไม่ปลอดภัยในชุมชน โดยใช้เครื่องมือเภสัชกรชนบทในการให้ความรู้กับเครือข่ายผู้บริโภค และนำเครื่องมือไปใช้ในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่พบในชุมชนในเครือข่าย ประกอบด้วย
1.โฆษณาชิ้นนี้มีเลขที่อนุญาตโฆษณาหรือไม่ 2.เนื้อหาของโฆษณาตรงกับชนิดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ หรือไม่ 3.เนื้อหาโฆษณาชิ้นนี้โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงหรือไม่ และเป็นรูปธรรมต่อผู้บริโภคหรืออาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมหรือไม่ และ 4.หากสงสัย ไม่ชัดเจน โปรดแจ้งหรือสอบถามโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ ซึ่งจากการสำรวจยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยตั้งแต่ปี 2562-2564 พบว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง พบ 232 ชิ้น คิดเป็นร้อยละ 80.56 พื้นที่ภาคตะวันตก พบ 9 ชิ้น คิดเป็นร้อยละ 3.13 ส่วนพื้นที่ภาคตะวันออก พบ 13 ชิ้น คิดเป็นร้อยละ 4.51
โดยส่วนใหญ่แหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยมาจาก 1.ร้านค้าออนไลน์ สื่อออนไลน์ และอินเตอร์เนต มากถึง 226 ชิ้น 2.ห้างออนไลน์ จำนวน 46 ชิ้น3.ขายตรง จำนวน 21 ชิ้น 4.ร้านขายยา จำนวน 18 ชิ้น5.ร้านขายของชำ จำนวน 16 ชิ้น 6.สื่อโทรทัศน์ จำนวน 14 ชิ้น7.ร้านสะดวกซื้อ จำนวน 9 ชิ้น 8.รถเร่ จำนวน 6 ชิ้น และ 9.สื่อวิทยุ จำนวน 5 ชิ้น ส่วนใหญ่ไม่ระบุสถานที่ผลิตมากถึงร้อยละ 58 นอกจากนั้นยังกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง
เช่น “ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวสกัดเย็น” โฆษณาว่าช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านมมะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง “ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง” โฆษณาว่าเร่งขาว ขาวไว ขาวชัวร์ ขาวไวกว่าฉีด ขาวถาวรซึ่งโฆษณาดังกล่าวเข้าข่ายไม่สามารถโฆษณาได้ โดยประชาชนที่นำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปใช้บางรายเกิดอาการผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร ใต้ตาแห้งลอกเป็นขุยและผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเมื่อทานแล้วน้ำตาลขึ้น เป็นต้น เมื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์พบว่า มีสารสเตียรอยด์ สารไซบูทรามีน และสารปรอท
“ปัญหาของการใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยในชุมชนพื้นที่ภาคกลาง ยังคงมีปัญหาจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบันที่เข้าถึงระบบอินเตอร์เนตมากขึ้น และวิถีชีวิตใหม่ในยุควิกฤตโควิด-19 การส่งเสริมเครือข่ายต่างๆ ให้สามารถดำเนินงานร่วมกัน ในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยในชุมชนจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากในการจัดการปัญหา และร่วมกันเฝ้าระวังการใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยในชุมชน เมื่อเครือข่ายมีความเข้มแข็งและมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง เครือข่ายภาคประชาชนและภาควิชาการจะสามารถร่วมมือจัดการปัญหาเหล่านี้ได้” ภก.ชินวัจน์ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง ภก.พรหมพิริยะ ปิติรัตนวรนาท อาจารย์วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต บรรยายหัวข้อ “ความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรม ของผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่อการจัดการยาเหลือใช้ ภาคกลาง” กล่าวถึงปัญหา “ยาเหลือใช้” ที่มาจาก 2 สาเหตุคือ 1.จากผู้ป่วย ทั้งโดยการลืมกินยา หรือมีทัศนคติบางอย่าง กับ 2.จากระบบบริการสุขภาพ เช่น การจ่ายยาที่มากกว่าวันนัด แต่ไม่ได้เป็นปัญหาที่ชัดเจน เพราะการที่จ่ายยาเกินนั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในกรณีที่ผู้ป่วยทำยาหาย หรือไม่สะดวกมาโรงพยาบาลตามวันนัด จะจ่ายยาเกินเพียงเล็กน้อย
“ถ้าหากไม่มีระบบการคืนยาที่ชัดเจน หรือการติดตามยาของผู้ป่วย ยาเหลือใช้มีผลกระทบต่อผู้ใช้ยา เนื่องจากมีความเสี่ยงในการใช้ยาที่ซ้ำซ้อน และยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และยังทำให้มีผลกระทบทางด้านเศรษฐศาสตร์” ภก.พรหมพิริยะ กล่าว
ส่วน ผศ.ดร.สุภาภรณ์ ค่าเรืองฤทธิ์ อาจารย์หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายเรื่อง “การแก้ปัญหายาเหลือใช้ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” ยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหายาเหลือใช้ในพื้นที่ ต.เขาทอง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ใน 3 เรื่อง คือ 1.กระเป๋าคืนยาช่วยชาติส่งเสริมให้ผู้ป่วยกินยาตรงเวลา และส่งเสริมให้ผู้ป่วยนำยากลับไปคืน ซึ่งจะมีป้ายชื่อของตนและมีนาฬิกาเตือน
2.บทวิทยุการคืนยาและการใช้ยาที่ถูกต้อง ซึ่ง ต.เขาทองมีสถานีวิทยุชุมชน ทำให้การสื่อสารที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สามารถผ่านสถานีวิทยุได้ จึงได้สร้างเครือข่ายกับชุมชนเพื่อกระจายข่าวสารเกี่ยวกับการคืนยาและการกินยาที่ถูกต้อง และ 3.ชุดความรู้การสร้างความตระหนักรู้การกินยาที่ถูกต้อง โดยจะมีตัวอย่างหลอดเลือดที่มีการเกาะตัวของไขมัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเห็นว่า ถ้าไม่กินยาจะส่งผลต่อหลอดเลือดอย่างไร!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี