พบต้นโพธิ์อายุเกือบร้อยปีที่วัดม่วง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ริมแม่น้ำแม่กลองในอดีตเคยเป็นทางขึ้นวัด แต่ปัจจุบันรากต้นโพธิ์ได้ขึ้นปกคลุมซุ้มประตูวัดกลายเป็นศิลปะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นดูสวยงามแปลกตา ชาวบ้าน นักท่องเที่ยวที่ขับรถผ่านจะชอบแวะกราบขอพร โดยเฉพาะคอหวยที่มักจะไม่พลาดเข้าขอเลขเด็ดกันทุกงวด
วันนี้..."ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์" พาไปเที่ยวชมความแปลกของต้นโพธิ์ขนาดใหญ่อายุราวๆ เกือบ 100 ปีที่รากขึ้นปกคลุมซุ้มประตูวัดจนดูเป็นศิลปะที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่ริมแม่นำแม่กลองหน้าวัดม่วง ต.บ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งวัดม่วงถือเป็นวัดที่เก่าแก่ตามประวัติบอกไว้ในคัมภีร์ใบลานเขียนด้วยอักษรมอญว่ามีอายุในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายมอญ ซึ่งต้นโพธิ์ที่ว่านี้มีลักษณะรูปทรงแปลกตาโดยได้รับคัดเลือกให้เป็นต้นโพธิ์ จ.ราชบุรี เป็น "รุก ข มรดก" ของแผ่นดิน ของกระทรวงวัฒนธรรมด้วย
จากประวัติทราบว่าต้นโพธิ์นี้มีเส้นรอบวง 11 เมตร ความสูง 10 เมตรอยู่บริเวณวัดม่วงมีกิ่งก้านสาขาปกคลุม โดยรอบๆ ซ้อมประตูวัด รากของต้นโพธิ์แทงเข้าไปตามซอก และโครงสร้างของซุ้มประตู กิ่งของต้นมีรูปร่างคล้าย ๆ กับช้างทรงขนาดใหญ่ มองดูแล้วสวยงาม
ภายในซุ้มยังมีรูปปั้นพระสังกัจจายน์พระอสีติ "มหาสาวกแห่งโชคลาภ" ประดิษฐานอยู่เพื่อให้ประชาชนมากราบไหว้ขอพรปัจจุบันอยู่ในความดูแลของวัดม่วง ถือเป็น "รุก ข มรดก" ของแผ่นดิน ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
ช่วงวันหยุดมักจะมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดขับรถผ่านและจะชอบแวะกราบขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งด้านในจะมีพวงมาลัยดอกไม้สด น้ำแดง น้ำเปล่า ผลไม้ หลายคนก็ยังมาขอโชค ขอลาภ จากองค์พระสังกัจจายน์ กันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงใกล้ ๆ วันหวยออกสังเกตจากบริเวณด้านข้างจะมีพานสีทอง สีเงิน น้ำแดง จัดถวายไม่ขาดจากคำเล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของต้นโพธิ์ต้นนี้ มีคนได้โชคลาภไปหลายงวดนำผลไม้ น้ำแดงมาถวายกันไม่ขาดสาย
นางสอางค์ พรมอินท์ อายุ 80 ปี ประธานพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง เปิดเผยว่า ตอนเด็ก ๆ ก็เห็นต้นโพธิ์นี้แล้วเพราะเคยวิ่งเล่นเที่ยวอยู่แถววัดม่วง เมื่อก่อนเป็นทางขึ้นหน้าประตูวัด ช่วงนั้นที่เห็นต้นโพธิ์อายุประมาณ 12 ปี ตอนนี้อายุ 80 ปีแล้ว ตอนนั้นยังไม่ใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งจะอยู่ติดกับแม่น้ำแม่กลอง ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเคยมีนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ไปชมต้นโพธิ์ และยังเคยขอโชคลาภด้วย
นายสวัสดิ์ เจิมเครือ เจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง กล่าวว่า ต้นโพธิ์ที่รูปร่างแปลก แต่เดิมเป็นซุ้มประตูอยู่บนวัดเดิมชายแม่น้ำใช้การเดินทางโดยเรือ แม้แต่เขตป่าช้าก็อยู่ชายแม่น้ำหมด แต่ต่อมาเกิดพังทลายก็ต้องย้ายหนี คงเหลือแต่ซุ้มประตูสมัยก่อนแข็งแรงดี ต่อมาต้นโพธิ์ขึ้นปกคลุมใหญ่ขึ้นก็เลยซ้อนพันเกี่ยวกัน จนต่อมามีผู้ศรัทธานำองค์พระสังกัจจายน์มาถวายไว้ด้านในให้กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล จนรากต้นโพธิ์ได้ซอนพันขึ้นไปเรื่อยๆ จนเห็นตามรูปลักษณ์ในปัจจุบัน ด้วยความแปลกได้มีการประกวดวัตถุโบราณเก่าทางจังหวัดได้ส่งเข้าประกวด จึงได้รับคัดเลือกได้รับรองชนะเลิศ "รุก ข มรดก" ของแผ่นดิน ของกระทรวงวัฒนธรรม
สำหรับวัดม่วงเป็นวัดเก่าแก่ดั้งเดิมของลุ่มแม่น้ำแม่กลอง สมัยก่อนเป็นป่าทั้งสองฝั่งได้พัฒนาหาที่ดินทำการเกษตรชาวมอญจะเดินทางโดยการล่องแพเรื่อยมาอพยพมาอยู่ที่นี่กว่า 300 ปีแล้ว ชื่อบ้านม่วงได้สันนิษฐานว่ามีต้นมะม่วงป่าเยอะที่ฝั่งนี้กับที่เมืองมอญหมู่บ้านเก่าเรียกว่าบ้านม่วงและได้มีการตั้งวัดม่วงพร้อมกับตั้งเจดีย์มอญขึ้น ที่หมู่บ้านยังคงรักษาวัฒนธรรมการพูดภาษามอญ การแต่งกายเดิมไว้ ส่วนการทอผ้าก็ยังคงมีอยู่มากว่า 300 ปีแล้ว
นายสวัสดิ์ เจิมเครือ เจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง กล่าวอีกว่า ส่วนต้นโพธิ์อายุราวๆ ขึ้น 70 ปี ส่วนอีกต้นมีอายุกว่า 100 ปี สมัยก่อนเคยมีศาลาอยู่ริมน้ำและมาพังทลายลงเมื่อประมาณกว่า 30 ปี ส่วนพิพิธภัณฑ์หลังนี้สร้างมากว่า 20 ปี แต่เดิมเป็นศาลาเอนกประสงค์เรือนไม้ได้ไว้จัดประเพณีต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนของเก่านั้นเป็นของวัดบ้าง มีชาวบ้านนำมาถวายวัดบ้างและได้รวบรวมเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ จนตกทอดมาถึงพระครูวรธรรมพิทักษ์ ร่วมกับกรมศิลปากรและชาวบ้านม่วง สร้างพิพิธภัณฑ์หลังนี้ขึ้นมา สมเด็จพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาทรงเปิดพิพิธภัณฑ์หลังนี้ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าชมของเก่า ได้ความรู้ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
ด้านในมีวัตถุโบราณที่สำคัญ เช่น ข้าวของเครื่องใช้โบราณของชาวมอญ เครื่องประดับ โอ่ง ไห ถ้วยชามโบราณ เครื่องแต่งกายโบราณ นอกจากนี้ยังมีใบลานที่ตกทอดมานานหลายร้อยปี บอกถึงตำรายาสมุนไพร คาถาไล่ผี ประวัติบ้านม่วง มีคัมภีร์งาช้าง 1 ชุด และเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่มสมัยโบราณอีกหลายชิ้น ชาวมอญก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีให้คงอยู่คู่ท้องถิ่นแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้
จากข้อมูลประวัติของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วงนั้นเชื่อว่าบรรพบุรุษของชาวมอญได้ติดตามพระมหาเถระคันฉ่อง เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ริมน้ำแม่กลอง ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อรำลึกถึงบ้านเก่ที่จากมา จึงเรียกบ้านใหม่ด้วยชื่อเก่าว่า "บ้านม่วง" เช่นเดียวกับชื่อวัดที่สร้างใหม่ว่า "วัดม่วง" ภาษามอญว่า "เพลียเกริก" และยังมีการอพยพเข้ามาอีกหลายระลอกใช้เวลาร่วม 400 ปีเป็นรากฐานที่ดีในการก่อเกิดพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง และศูนย์มอญศึกษาขึ้น
สำหรับผู้สนใจมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วงได้ทุกวันพุธ - อาทิตย์จะหยุดเฉพาะวันจันทร์และวันอังคารมาเที่ยวชมโบราณวัตถุในสมัยโบราณของชาวมอญและเที่ยวชมสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี